Powered By Blogger

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่องสั้นอีสาน อุ่นไอดินถิ่นรัก (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)


เรื่องสั้นตอน ..อุ่นไอดินถิ่นรัก..

อาทิตย์ ยามบ่ายคล้อยทอแสงโอบกอด ผืนทุ่งนาข้าวจนเกิดประกายสีทองเลื่อมพราย สายลมเย็นโชยพัดผ่านอยู่เป็นระยะสะบัดช่อรวงให้ไหวเอนตามแรงประหนึ่งว่า กำลังปลดปล่อยอริยาบทแห่งห้วงความฝันที่ผสานไปด้วยจินตนาการ นกน้อยหลายตัวกระโดดโล้ดเต้นจับยอดรวงพร้อมส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ประสานเสียง คอรัสเสมือนกำลังช่วยกันเห่กล่อมท้องทุ่งสีทอง ฝูงแมลงปอบินหยอกล้อเล่นกับลมพลางสยายปีกที่มีสีสันสวยงามอวดโฉมดึงดูดสายตา แก่อาคันตุกะที่ผ่านไปผ่านมาให้หลงเสน่ห์ต้องมนต์สะกดเป็นยิ่งนัก



รถสองแถวเล็กสีฟ้าวิ่งตามถนน ลูกรังสีถ่านเพลิง พร้อมกับเสียงผู้โดยสารไอดัง แค๊ก..แค๊ก..ให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ฝุ่นสีแดงคละคลุ้งลอยปลิวว่อนตามท้าย ยังผลให้สีผมของผู้โดยสารเริ่มเปลี่ยน ต้นไม้สองข้างทางกลายเป็นสีแดงด้วยสายลมที่โอบอุ้ม หนทางที่คดเคี้ยวของถนนลูกรังผ่านเข้าไปหลายหมู่บ้าน ผ่านท้องทุ่งนา ผ่านผืนป่าโคกผ่านทางแคบสลับกับบางช่วงมีหลุมบ่อ ทำเอาผู้โดยสารนั่งโยกหัวสั่นหัวคลอนไปตามๆกันเสมือนว่ากำลังดูคอนเสิร์ตวง ฮิตจนยากที่จะเก็บสปิริตแห่งความมันส์ออกอาการให้โยกตาม ดวงอาทิตย์คล้อยตัวลงต่ำเทียบปลายไม้รถโดยสารยังคงจอดส่งผู้คนตามรายทางหลาย หมู่บ้าน เสียงคนดังจ้อกแจ้กจอแจบ้างร้องตะโกนทักทายไต่ถามขณะรถจอดส่ง การเดินทางใช้เวลาเนิ่นนานพอดูขณะนี้เหลือผู้โดยสารบนรถเพียงคนเดียว รถโดยสารยังคงบึ่งมุ่งหน้าทำหน้าที่ส่งผู้โดยสารรายสุดท้ายซึ่งเป็นหมู่บ้าน ข้างหน้า ชายหนุ่มใช้มือขยับคอเสื้อให้เข้ารูปเมื่อสายตาเริ่มมองเห็นจุดหมายอยู่ไม่ ไกล มือขวาจับเสื้อสะบัดไปมาเพื่อไล่ฝุ่นสีแดงที่แฝงตัวแซมกับเนื้อผ้า พลางชะเง้อหน้ามองแววตาคมเป็นประกายเมื่อเริ่มมองเห็นเค้าของหมู่บ้านที่ อยู่ข้างหน้า

" ลงหม่องได๋หล่ะหนุ่ม " เสียงลุงซึ่งทำหน้าที่สารถีตะโกนถามมาจากข้างหน้าขณะที่รถยังวิ่งอยู่

" จอดศาลากลางบ้านกะได้ครับลุง " ชายหนุ่มบอก สายตายังจับจ้องสภาพข้างหน้า ซึ่งขณะนี้รถวิ่งผ่านบ้านหลังแรกของหมู่บ้านมาแล้ว ไม่นานนักรถสองแถวเล็กสีฟ้าจอดนิ่งที่ศาลากลางหมู่บ้าน ชายหนุ่มขยับตัวพร้อมสะพายกระเป๋าเข้าตำแหน่งหลัง ถุงกระดาษขนาดใหญ่สองถุงที่ข้างในบรรจุเสื้อและของฝากต่างๆถูกกระชับเข้ามือ จากนั้นรถโดยสารก็วิ่งต่อไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายและ เป็นบ้านของคุณลุงสารถีนั้นเอง ชายหนุ่มขยับตัวหลังจากรถวิ่งผ่านไป ใบหน้าคมเข้มอาบด้วยรอยยิ้มนิดๆเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนเพ่งมองอยู่ข้าง หน้า

" คาต๊ะยืนยิ้มอยู่หั่นหล่ะคนกรุงเทพ..เอาถุงกระดาษมาพี้แววสิถือซ่อย " เสียงเธอค่อนขอดเขาอยู่นิดๆแต่ภายในรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆเมื่อเห็นเขากลับมา หลังจากที่เขาจากบ้านไปทำงานเก็บเงินอยู่เมืองกรุงถึงสองปี

" แววคือฮู้ว่าอ้ายสิมาฮอดเวลานี้ " ชายหนุ่มถามกลับแววตาอ่อนโยน มองใบหน้าสวยได้รูปที่อยู่ตรงหน้าเขา

" เอ๊า..อ้ายทิวบ่ฮู้ติว่าแววมีสัมผัสที่แปด..บอกว่าเอาถุงกระดาษมาพี้ " เธอบอกหน้าตายพร้อมแย่งถุงไปจากมือเขา คำพูดและกิริยาของเธอทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาแม้จะดูเหมือนว่าเธอยัง เคืองเขาอยู่บ้างที่ปล่อยให้รออยู่นานแสนนาน แต่ถึงตอนนี้ความสุขภายในใจของแววตาคงมีมากมายไม่ต่างจากเขาเฉกเช่นตอนนี้ เสียงทักทายร้องถามจากคนในหมู่บ้านขณะเดินผ่านมันทำให้ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึง ความจริงใจรู้ซึ้งในวิถี เขาไม่ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้มาแสนนาน แต่วันนี้สิ่งเก่าๆภาพเก่าๆเริ่มคืนสู่กระบวนทัศน์ที่เขาสามารถสัมผัสจับ ต้องได้ ของฝากถูกมอบให้กับคนสำคัญที่มีสัมพันธ์ทางใจ จดหมายทุกฉบับที่แววตาส่งถึงขณะที่เขาทำงานอยู่เมืองกรุงถูกดึงเข้ามาเก็บ ไว้ใต้หมอน ค่ำคืนนี้ชายหนุ่มหลับตาลงด้วยความสุขเกษม เสียงหัวเราะของแม่และพี่ๆฉาบทอหัวใจหลังจากเห็นเขากลับคืนสู่ถิ่น รอยยิ้มของแววตาสาวคนรักโอบอุ้มห่อส่งแรงทอแห่งประกายฝัน ชายหนุ่มหลับไหลไปกับค่ำคืนที่หนาวเย็นภายนอกแต่อบอุ่นไปด้วยไฟแห่งรักอยู่ ภายใน..





…สายหมอกยามเช้าดูขมุกขมัวพราวพร่าง ไปทั่วบริเวณปกคลุมถนนลูกรังสีแดงจนกลายเป็นสีขาวขุ่น บนเส้นทางสายแห่งความคิดฮอดถูกสายหมอกพัดผ่านเห็นพอเลือนลาง เสมือนบรรจงกอดไปด้วยไออุ่นแห่งรัก ถักทอไปด้วยสายใยแห่งความฝัน สายสัมพันธ์แห่งรักถูกก่อร่างสร้างตัว เสมือนตอกเสาเข็มย้ำตรึงติดแน่นจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ แม้จะใช้รถเครนขนาด20ตันมาเคลื่อนก็ดูเหมือนจะไม่ขยับติง แต่เมื่อใดที่เธอซูนคิงฉันกลับติงและสั่นไหว ภายในดวงฤทัยกลับเร่าร้อนด้วยความอาทรแห่งคำหวานของอีนางบ้านนา ดั่งสกุณามวลวิหคที่ผกโผบินลงต่ำกระซิบย้ำกับยอดหญ้าให้รู้ว่าแม้วันเวลาจะ ผันผ่านฤดูกาลจะหมุนเวียน แต่ในความรู้สึกยังคอยย้ำเตือนไม่เคยลืมเลือนแม่คนดี..

      เช้านี้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่แช่มชื่นเบิกบาน เขากลับมาทันในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ทิวไผ่ใช้เวลาทุ่มเทเต็มที่กับการช่วยงานแม่และพี่ๆของเขาและอีกสิ่งหนึ่ง ที่ชายหนุ่มไม่เคยลืมก็คือการได้มีส่วนช่วยเก็บเกี่ยวรวงสีทองกับทางครอบ ครัวของแววตาสาวคนรักอีกด้วย แววตาถือว่าเธอเป็นคนขยันพอสมควร แปลงผักหลายๆแปลงบนคูสระน้ำขนาดใหญ่ของเธอถือกำเนิดเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของ เธอเพียงคนเดียวโดยมีสายตาจากบุพการีทั้งสองเพ่งพิศด้วยความชื่นชม การรดน้ำถือเป็นกิจวัตรในยามเย็นของเธอ บัวขนาดย่อม2ใบบรรจุน้ำเต็มเมื่อเทียบกับท่อนแขนที่ขาวเรียวสวยแล้วดูจะขัด ตาของใครหลายๆคนที่พบเห็น แต่เธอถือว่านี่คืองานที่เธอพึงกระทำและเต็มใจที่จะทำ เป็นงานที่เธอชอบ แววตารักที่จะปลูกสิ่งต่างๆและชอบเฝ้ามองดูสิ่งที่เธอปลูกบนผืนดินถิ่นอีสาน ซึ่งเป็นไอดินถิ่นรักที่เธอประจักษ์อยู่ภายในใจ

" แวว..บ่ต้องๆ เดี๋ยวอ้ายซ่อยตักฮดให้เอง " เสียงชายหนุ่มร้องบอกเมื่อมองเห็นสาวคนรักกำลังก้มตักน้ำอยู่ริมสระ พลางเร่งฝีเท้าเข้าหา

" โอ๊ะโอ๊ย..อ้ายทิว.. " เสียงสาวเจ้าร้องขึ้นเมื่อขยับตัวจะลุก บัวที่มีน้ำเต็มใบหลุดจากมือเรียวงามจมดิ่งลงสู่ใต้ก้นสระทันที

" ตู้มมม))" เสียงร่างของทิวไผ่กระทบกับผืนน้ำ เขาดำดิ่งลงลึกเพื่อควานหาบัวคนรักที่กำลังจะลงสู่ก้นบึ้ง โชคเข้าข้างชายหนุ่มเมื่อเขาคว้าเจอพร้อมทะยานตัวขึ้นสู่เหนือผิวน้ำ

" คริ..คริ..อ้ายทิวหนาวบ่จ้า " เสียงสาวเจ้าหัวเราะเอ่ยปากถามชายหนุ่มที่ลอยตุ๊บป่องเสื้อผ้าเปียกปอนมือขวายังกำบัวไว้แน่น

" หนาวหล่ะเนาะแวว..น้ำในสระเย็นคือหยั๋งหนิแถมลมข้างเทิงกะเย็นวอยๆ..เป็น หยั๋งเจ้าของคือบ่จับให้ดีๆแน ดีนะที่แววบ่พลาดตกลงไปนำ " ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ปากเริ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด

" เอ๋า..คันแววจับดี แววสิได้เห็นคนลงน้ำติ แววแกล้งปล่อยบัวเองหล่ะ..อยากเห็นคนลงน้ำ อยากให้น้ำในสระมันล้างโตล้างใจคนเมืองกรุงให้มันหล่อน..คริ..คริ.. " เสียงเธอหัวเราะลั่น พลันทำให้ชายหนุ่มต้องอมยิ้มตาม

" แววแกล้งอ้ายอีกแล้วเนาะ..แววเอ๊ย..แหม่นอ้ายสิไปอยู่กรุงเทพ..ไปอ้ายกะไป แต่โตดอก แต่ใจและจิตวิญญาณของอ้ายยังคือเก่ามันสลัดต้นกำเนิดสลัดวิถีเค้าออกจากใจ อ้ายบ่ได้ดอก..จำคำอ้ายไว้เด้อ "

ชายหนุ่มบอก ตาเป็นประกายฉายแววมองคนรักด้วยจิตเสน่หา แม้ตอนนี้ความหนาวเหน็บเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วกายแต่ความอบอุ่นภายในดูจะอุ่นไอ ยิ่งกว่าเมื่อมองเห็นใบหน้าและสายตาของเธอยืนจ้องมองเขาด้วยจิตที่อิ่ม เอม...        






อุ่นไอดินถิ่นรัก  ตีข้าวฟังเสียวสะนูว่าว

...ท้องนภาพราวพร่างสว่างไสวไปด้วยมวลของหมู่ดาว ทอแสงแวววาวระยิบระยับตระการตา ประหนึ่งว่าเทพเทวาเสกสรรปั้นแต่งด้วยอำนาจแห่งมนต์ มองเห็นกลุ่มดาวลูกไก่ทั้ง7ส่องแสงเจิดจรัสบัญญัติด้วยรัศมีอยู่ฟากโพ้น เสมือนแม่ไก่คอยโอบอุ้มคุ้มภัยให้ลูกน้อยด้วยความรักความห่วงใยด้วยสายใจที่ พันผูกโดยมิยอมให่ห่าง   ไม่ไกลกันนักมองเห็นดวงดาวอยู่3ตำแหน่งที่ส่องประกายแสงเป็นรูปไถ  ไกลออกไปอีกฟากนภากาศ มองเห็นดาวประกายพรึกหรือดาวรุ่งดวงใหญ่ทอแสงสว่างไสวอยู่ทางด้านทิศตะวัน ออกเป็นสัญญาณเตือนบอกว่าใกล้รุ่ง เสียงไก่ขันดังก้องกังวานขับขานอย่างรู้หน้าที่อีกไม่นานนักเช้าวันใหม่ก็จะ เข้ามาเยือน  เสียงเขียดน้อยดังแว่วแผ่วเบาเหมือนกับว่าเหนื่อยล้าอ่อนกำลังหมดเรี่ยวแรง กับการทำหน้าที่ขับขานตลอดทั้งคืนและอีกไม่ช้าก็คงจะเงียบเสียงไปในที่สุด  แต่ระยะทางของกาลเวลานี่สิยังเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่เคยหยุด หรืออ่อนล้าเอาเสียเลย      

  .. เพียงไม่นานสายลมเย็นโชยพัดต้องแสงสีทองของเช้าวันใหม่ก็เริ่มฉายขึ้น ท้องนภาค่อยๆเปลี่ยนสีจากความมืดมิดของรัตติกาลค่อยๆคลืบคลานสู่ความสว่าง ไสวแห่งแสงสุริยะ ท้องฟ้าเริ่มถูกโอบไปด้วยแสงสีทองอร่ามตาผสานด้วยสายหมอกจางๆดูน่าชมน่าพิศ มัยยิ่ง  นี่คือผืนดินแห่งทุ่งอีสาน ดินแดนแห่งวัฒนธรรม อารยะ ขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ในตัว เสน่ห์แห่งมนตราที่นำพาทุกอณูแห่งความรู้สึก ที่ล้ำลึก  ตรึงหัวใจให้ประดิพัทธ์เมื่อได้สัมผัสกับแก่นแท้ของดินแดนแห่งอารยะบน พื้นที่ราบสูง.. 





...เสียงนกน้อยร้องเซ็งแซ่ โผผินบินออกจากรังเพื่อหาอาหารยังชีพของมันตามวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต  อากาศยามเช้าดูแสนสดชื่นนัก ต้นข้าวรวงงามถูกแสงโอบจนเกิดประกายทองเลื่อมพลาย สองร่างที่ดูต่างวัยกำลังก้มๆเงยๆสลับปรับเปลี่ยนอริยาบทขึ้นลงอย่างเป็นจัง หว่ะท่ามกลางสายลมที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณท้องทุ่ง แววตาที่มุ่งมั่นถูกผลักดันไปด้วยสรรพสิ่งโดยรอบจึงประกอบให้เกิดความอ่อน โยนอยู่ภายในลึกๆ  แม้อากาศภายนอกจะดูหนาวเย็นแต่กลับเริ่มมีเหงื่อผุดเป็นเม็ดๆจากใบหน้าคม หลังจากที่เขาใช้เวลาอยู่ท้องทุ่งชั่วโมงกว่าๆ





" อีกคนละแทวกะแล้ว บ่น่าสิเกิน30ฟ่อน "  ชายหนุ่มพึมพำออกมาเมื่อกวาดสายตาโดยรอบ  เป็นเช้าวันที่สามแล้วที่ชายหนุ่มขันอาสามาทำหน้าที่ช่วยลุงสุขพ่อของแววตา สาวคนรักเก็บกู้ข้าวซึ่งวันนี้ก็จะแล้วเสร็จเป็นวันสุดท้าย ช่วงบ่ายก็คงน่าจะเก็บฟ่อนข้าวไปรวมไว้ที่ลานได้หมด ต่อไปก็คงจะได้เอาแรงนวดข้าวกันต่อไป

              ผ่านไปประมาณ20นาทีลุงสุขและทิวไผ่ก็จัดการมัดฟ่อนข้าวจนแล้วเสร็จ ประกายรอยยิ้มผุดที่ใบหน้าเล็กน้อยเมื่อกวาดสายตามองเห็นผลงาน ความสุขภายในเริ่มเอ่อล้นเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าของแววตา.เสียงหัวเราะคำพูด ที่ชอบกระเซ้าเย้าแหย่เวลาเขานิ่งเงียบมันทำให้เธอดูมีเสน่ห์ชวนหลงยิ่ง


" ทิวเอ๊ยทิว..ป๊ะ.กลับบ้านไปกินข้าวก่อนค่อยเมืออาบน้ำเด้อ "  เสียงลุงสุขร้องบอกปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์  ใบหน้าคมเปื้อนยิ้มมองชายร่างเล็กที่แกร่งด้วยประสบการณ์ชีวิตอย่างนอบน้อม เขาเคารพนับถือลุงสุขเฉกเช่นพ่อของเขาอีกคน  ชายต่างวัยเดินบ่ายหน้าตามคันนามุ่งสู่บ้าน..ไอจากสายหมอกจับค้างพรมผืนต้น หญ้าจนเกิดความชื้นแฉะเมื่อสองเท้าลุยฝ่า..ชายหนุ่มแกล้งเตะเท้าหยอกเล่นไป มาเมื่อเห็นต้นหญ้าบางกอยังมีเม็ดน้ำเกาะเกี่ยวหนา ใบหน้าและแววตาเริงร่าเมื่ออิสระทางใจไร้สิ่งยึดติด.




" ตุ๊บ.ตั๊บ.ตุบ.ตั๊บ.ตุ๊บ.ตั๊บ "   เสียงจังหวะการฟาดของชายต่างวัย4-5คนดังแน่นสลับกันไปมาท่ามกลางแสงจันทร์ฉายแห่งรัตติกาล


 " ตื๊ดดด..ตือออ..ตื๊ดดด..ตือออ..ตื๊ดดดด..ตือ "  เสียงธนูว่าวดังหนัก-แผ่วขึ้นลงตามกระแสลมบน เดือนใสแจ้งสามารถมองเห็นเจ้าของเสียงที่อยู่ข้างบนได้โดยง่าย


    สายลมหนาวแผ่ซ่านพัดโอบล้อมไปทั่วบริเวณส่งผลให้เกิดก่อกองไฟไม่ห่างจากลาน ข้าวนัก การฟาดข้าวนิยมฟาดตอนกลางคืนเนื่องจากอากาศไม่ร้อนพลอยทำให้เพลินไปด้วย ลานข้าวของลุงสุขถือว่าขนาดปานกลางแต่เมื่อเทียบกับผืนไร่นาทีทำนั้น ต้องยอมรับว่าผลผลิตที่ได้ดูจะมากโข รวงข้าวที่ใหญ่เม็ดงามผ่านการเอาใจใส่ดูแลด้วยภูมิปัญญาแห่งวิถี มูลสัตว์ขี้วัวขี้ควายแห้งถูกโปรยหว่านในช่วงหน้าแล้งเพื่อปรับปรุงผืนดิน ส่งผลให้ให้ก่อเกิดเลอเลิศด้วยผลดีนักเชียว


 " อ้ายทิว..เหมื่อยกะพักกินน้ำก่อนจ้า..เบิ่งซงคือฟ้าวแท้..ย้านผู้อื่นเพิน ยาดตีเหมิดก่อนติ..คริ คริ "   เสียงใสของแววตาทำให้ใบหน้าชายหนุ่มเปื้อนยิ้ม..นึกขำกับประโยคของเธอ  เม็ดเหงื่อชุ่มเสื้อจนเริ่มเปียกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องแสงจันทร์แต่มัน เป็นเม็ดน้ำจากความเอื้ออาทรภายในที่ทิวไผ่เต็มใจทำเพื่อครอบครัวของคนที่ ตัวเองรัก ชายหนุ่มเก็บไม้ขึ้นพาดที่คอ สายตาสาวเจ้าร่างงามระหงจับจ้องมองอย่างนึกขัน


" เฮ็ดคือเนาะคน..เอาไม้หนีบคอเจ้าของกะเป็น..นี่จ้าน้ำอ้ายทิว..นั่งเซา เหมื่อยก่อน "  สาวเจ้าบอกพร้อมยื่นขันน้ำส่งให้ด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข   ทิวไผ่รับขันน้ำพร้อมกับนั่งลงข้างๆ สายตามองลอมข้าวที่ตอนนี้ถูกฟาดหายไปเกือบครึ่ง..ไม่เกินสามชั่วโมงน่าจะ แล้วเสร็จ



" โอ๊ยยย.เนาะ..ตีข้าวนี่จั่งแหม่นเหมื่อยคิงเด้..ได้นอนหนุนตักคนฟังเสียงธนู ว่าวคือสิเซาเหมื่อยเนาะ "  ทิวไผ่เอ่ยยิ้มๆ สายตาชำเลืองดูสาวเจ้าด้วยอาการเย้าหยอก


" ตุ๊บ "  เสียงกำปั้นน้อยแต่ดังแน่นฟาดเข้าที่หลังชายหนุ่มไปหนึ่งทีทำให้เขาต้องหัวเราะลั่น


" โอ๊ย..คนเอ๊ย..มือน้อยๆหยั๋งมาฟาดแฮงแถ่ะ..สมพ้อเพินฟาดข้าวสะนุเเล้วเร็ว เนาะ..อ้ายตีข้าวนำกะบ่ทันแหม๋ ฮ่าๆๆ "  ทิวไผ่หัวเราะชอบใจสายตามองคนรักด้วยความอ่อนโยน..


" เอ๊า..คันแววหมัดบ่หนักสิเอาคนอยู่ติจ้าอ้ายทิว..จั๊กทิวไผ่สิกลายเป็นทิว ไผ๋หล่ะ..แต่คันมาเจอกำปั้นน้อยๆของแววรับรองหลบเป็นแถวจ้า คริ คริ "  หญิงสาวเย้าพร้อมชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอุ่นอิ่มด้วยความ รัก หน้าขาวอมชมพูเกิดอาการแดงเล็กน้อยเมื่อต้องแสงจันทร์ฉายมันทำให้เธอน่าพิศน่ามองยิ่ง..


                         บทเนื้อเรื่องโดย.. อีเกียแดง แห่งรัตติกาล

ผญาเศร้าเหงาหวาน 8 (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)


โอน้อ ย้อนความจน..ข้นแค้น สายแนนเกี่ยวบ่เทียวเถิง
เส้นทางเดินเลยเขินขัด หนักอยู่ในจนใจท้อ
บุญบ่พอสิก่อค้ำ ดั่งวงกรรมได้นำก่าย
ดึงจ่องกายหมายจ่องเกี้ยว ดั่งเทียวย้ำให้ฮ่ำฮอน นี่แหล๊ว

โอยน้อ เหล่นละครตอนไกลบ้าน ออกเดินหย่างสู่ทางจร
บินแรมรอนนอนอย่างกา หากินจรไร้คอนเค้า
ไปอยู่เซาเอาเหงาซ้น ดั่งคนเมืองหวังเตื้องต่อ
เพื่อคนรอได้พอใซ้ คนไกลใกล้ได้เพิ่งพิง
หากคืนได๋หัวใจนิ่ง ประวิงคิดสถิตย์ตรอง
เหลียวเห็นคองมองเห็นหลัง หวังคืนทางแต่ปางเค้า
คิดฮอดมารดาเจ้า อีกพ่อเฮาเล่าเป็นห่วง
โอยน้อ อยู่จั่งได๋ยามไกลล่วง เป็นห่วงเเท้อยากแหว่คืน แท้แหล๊ว
.........................................................................
นี่หล่ะเนาะ ชีวิตเฮามันเลือกเกิดบ่ได้ แต่สิ่งที่เฮาเลือกได้กะคือเลือกที่สิเป็นคนดี บ่เฮ็ดให้ไผเดือดร้อน ต้นทุนชีวิตของแต่ละคนบ่ท่อกัน แต่ละคนกะเลือกเดินในเส้นทางที่ต่างกันไป นี่หล่ะครับคือบทละครชีวิต จั่งได๋เถิงเฮาสิมีบ่ท่อเทียมในด้านความเป็นอยู่ แต่เซื่อว่าพี่น้องอีสานบ้านเฮาจิตใจสูง โอบเอื้ออารีย์ที่ดีต่อกัน
  สักมื้อหนึ่งเฮากะสิหวนคืนสู่แผ่นดินเกิดและคืนสู่คนอันเป็นที่รักแน่นอน ผมเองกะคือกัน
" เถิงเฮาเลือกเกิดบ่ได้ แต่เฮาเลือกที่สิเป็นคนดีได้ " สู้ต่อไปครับ
อีเกียแดง แห่งรัตติกาล





ย้านเด้น้อ...
ย้านหัวใจดวงน้อย ไปหลอยลักมักงามขำ
ย้านคิดนำแต่ทางเขา จนเบาหวานทะยานพุ่ง...เบ๊ย
ย้านว่าสูงเกินกั้น กำแพงฝันนั่นเกินค่า
ย้านบ่าวนาผลาน้อย บ่พลอยได้สิฮ่วมเฮียง

คำเอ๊ย..
ย้านเป็นเพียงอีเกียน้อย ได้ลอยเหวิ่นตกเวิงหนาม
ย้านหงส์งามบินกลาย ขี่หยายลงใส่พงพื้น
ย้านว่าฝืนบ่คืนได้ แนวหัวใจมันใกล้ป่วง
ย้านตกบ่วงฮักฮ้าง พงหนามเกี้ยวสิเหนี่ยวพัน แท้แหล๊ว

ภาพและบทผญา อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
จักว่าย้านหยังกะด้อกะเดี้ยนี่กะดาย ย้านหลายกะหนีไปนอนนาพุ้น แหน่ะ! ไปนอนนากะย้านผีหลอกอีกหล่ะ แห่ะๆ โอยเนาะ







" พี่น้องเอ๊ย..ทุกข์เพินบ่ว่าดี มีจั่งว่าพี่น้อง ลุงป้าค่อยว่าหลาน "

คำโบราณเพินว่าไว้ ได้ไขกล่าวแต่คราวหลัง
กะว่ายัง.เห็นจริง อิงค่าคำ..ดั่งนำซี้
ยามมั่งมีเขาดีด้วย ยามร่ำรวยเขาดีดั่ง
สนุกฟัง..เสียงย้อง ทั้งผองญาติมากหมู่มี ซั้นแหล๊ว

ยามทุกข์จนเขาซ้นลี้ แล่นหนีซบ.หลบคำจา
เฮาเป็นหมาโดยว่าพลัน ถืกเขาหยันบ้างมองเย้ย
คำเฉลยที่เคยอ้าง กะหมางเมินจนเกินกู่
เปรียบหมาหมูเป็นหมู่จ้อย คอยแต่ย้านสิผ่านเฮือน

โอน้อ คำว่าคน!มันวนเคลื่อน เหมือนคำเอ่ยดั่งเคยจา
กิเลสมาบังบด จนคดงอต่อใจซ้ำ
แสวงนำแต่ทำอ้าง หลอยหาทางสิกินต่อ
ความดีเขาเซาเหลียวพ้อ นี่บ้อเจ้า.พวกเหล่าคน เอ๊ย

ภาพและบท #ผญา  #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล






โอน้อ จากบ้านนามาอยู่ยั้ง นิคมฝั่งเมืองหลวง
หวังให้ดวงจ่องนำ พอหล่ำมองเห็นคองบ้าง
สู้ต่องานจนตางท้อ บ่พอเห็นเช่นดังว่า
กำลังแขนกะแฮ่งล้า ทางข้างหน้าเริ่มว่ามัว แท้แหล๊ว

สิลองไปให้สุดขั้ว หัวใจว่าให้พาหยุด
หากว่าสุดกำลัง สิเอาหยั๋งหล่ะคงไว้
เหลือฮอยใจไว้ต่อตั้ง เหลือฮอยหลังไว้ต่อแน
อย่าบืนนำทำจนแย่ สิเกินแก้แท้ห่าลุน

หนทางไกลในภายพุ้น หากบุญก่อคงยอเสริม
หากทางเดินมันเขินขัด สิอ่วยกลับหล่ะคืนบ้าน
คืนอีสานบ้านนาเค้า เอาเสียงลำนำเกี้ยวกล่อม
เติมหัวใจให้เต็มพ้อม ถนอมตุ้ม..ให้ซุ่มงาม ถ่อนแหล๊วครับ

สุขใดไหนสิถ่อบ้านเฮาเนาะ สู้งานไกลหัวใจท้อ กะงอโค้งอ่วยคืนครับ สุขสดใสสดชื่นทุกคนครับ
ภาพและบท #ผญา  #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล


วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่องสั้นแนวอีสานเรื่อง ดอกติ้วคืนถิ่น (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)

(ขอบคุณภาพจากอ้ายปิ่นลม พรหมจรรย์)

เรื่องสั้นเรื่องนี้ถูกดึงขึ้นจากจินตนาการเท่านั้น มิได้ส่อเสียดหรือเสียดสีใครครับ ร่วมสำนึกรักบ้านเกิดไปด้วยกันครับ


อาทิตย์ยามบ่ายคล้อยทอแสงสีทองส่องประกายเลื่อมพรายโอบกอดผืนดินถิ่นอีสานประดุจแผ่นดินทอง ม่านแห่งสายลมโชยพัดผ่านดังหวิวแว่วแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ ต้นไม้พริ้วสะบัดใบรับเสมือนหยอกล้อเล่นประหนึ่งว่ากำลังปลดปล่อยอริยาบทในห้วงความฝันที่ผสานไปด้วยจินตนาการในม่านสายลม นกน้อยหลายตัวกระโดดโล้ดเต้นจับบนกิ่งก้านพร้อมส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ประสานเสียงคอรัสเหมือนกำลังช่วยกันเห่กล่อมท้องทุ่งอีสานให้คลายความหม่นหมอง ฝูงแมลงปอบินหยอกล้อเล่นกับสายลมพลางสยายปีกที่มีสีสันสวยงามอวดโฉมดึงดูดสายตาแก่อาคันตุกะที่ผ่านไปผ่านมาให้หลงเสน่ห์ต้องมนต์สะกดจนเกิดปฎิพัทธิ์


รถสองแถวเล็กสีฟ้าเก่าๆวิ่งมาตามถนนทางหลวงหมายเลข2074 พร้อมกับเสียงผู้โดยสารคุยกันให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เมื่อผ่านหมู่บ้านคราใดก็จะได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับการจอดส่งของรถสองแถวหรือบ้างก็จอดรับรายทางเมื่อมีคนเรียก กระเป๋าสัมภาระต่างๆถูกยกลงเมื่อเจ้าของถึงที่หมาย ณ เวลานี้บนรถเริ่มบางตา เสียงพูดคุยก็เริ่มค่อยๆเงียบลงเมื่อรถวิ่งห่างจากตัวจังหวัดมากขึ้นทุกที โชว์เฟอร์มาดเก๋าอย่างลุงสียังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เสียงเพลงรักเก่าที่บ้านเกิดดั่งหวานแว่วมาจากเครื่องเล่นเทปผสานกับเสียงลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างของรถจนบางทีทำให้เสียอรรถรสไปบ้าง แต่หาได้เกิดปัญหากับลุงสีไม่ เสียงผิวปากดังก้องอย่างคนอารมณ์ดีผสานไปกับเสียงเพลงและสายลมได้อย่างลงตัว


ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำเทียบปลายไม้รถโดยสารยังคงจอดส่งผู้คนตามรายทางหลายหมู่บ้าน เสียงคนดังจ้อกแจ้กจอแจบ้างร้องตะโกนทักทายไต่ถามขณะรถจอดส่ง จวบจนสี่โมงเย็นรถสองแถววิ่งมุ่งหน้าสู่ปลายทางซึ่งมองเห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก การเดินทางใช้เวลาพอสมควรขณะนี้เหลือผู้โดยสารบนรถเพียงคนเดียว รถโดยสารยังคงบึ่งมุ่งหน้าทำหน้าที่ส่งผู้โดยสารรายสุดท้ายซึ่งเป็นหมู่บ้านข้างหน้าและสิ้นสุดระยะทาง หญิงสาวใช้มือขยับคอเสื้อให้เข้ารูปเมื่อสายตาเริ่มมองเห็นจุดหมายอยู่ไม่ไกล มือขวาจับเสื้อสะบัดไปมาเพื่อไล่ฝุ่นผงที่ติดแซมเสื้อ


" บุรีรัมย์-โคกเพ " 


สายตาของหญิงสาวชำเลืองดูสติ๊กเกอร์ตัวหนังสือที่เขียนติดไว้ข้างรถพลางนึกขำ ถ้าเป็นคนนอกพื้นที่มาเจอแบบนี้คงเล่นเอางงเหมือนกัน แต่เมื่อดูตามสถาพของรถแล้วก็ไม่นึกแปลกใจ มันคงจะหลุดลอกออกไปกับกาลเวลา คนขับเองก็คงไม่มีเวลามาสนใจกับมันเป็นแน่ จะเอาอะไรมากมายขอให้วิ่งรับส่งผู้โดยสารถึงที่หมายก็บุญโขแล้วหล่ะ


" ลงหม่องได๋หล่ะอีนาง "

เสียงลุงสีซึ่งทำหน้าที่สารถีตะโกนถามมาจากข้างหน้าพร้อมกับถอนคันเร่งชะลอความเร็วลงเมื่อถึงหมู่บ้านโคกเพ็ก


" จอดศาลากลางหมู่บ้านกะได้จ้าลุง "

ใบหน้าหวานแต่แฝงด้วยแววตาเศร้าตอบกลับไปพร้อมกับขยับตัว มือขวาถือกระเป๋าขึ้นกระชับเมื่อรถสองแถวจอดสนิทนิ่ง หญิงสาวก้าวลงพร้อมด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาจากกรุงเทพ ใบหน้าหมองเปื้อนยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณยายที่นั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางหมู่บ้านส่งยิ้มทักทายมา


" จักบาทจ้าลุง " หญิงสาวเอ่ยพลางเปิดกระเป๋าสตางค์


" ยี่สิบบาทอีนาง โตแหม่นคนบ้านโคกเพ็กอยู่ติ ลุงคือบ่คุ้นหน้าปานได๋ " โชว์เฟอร์วัยเก๋าเอ่ยถาม มือขวายื่นรับแบงค์ยี่สิบจากหญิงสาว


" หนูเป็นคนบ้านโคกติ้วจ้าลุง ไปเฮ็ดงานอยู่กรุงเทพ กลับมายามบ้านจ้า "

หญิงสาวบอกซ่อนแววตาเศร้าแต่ในความจริงนั้นบาดแผลใหญ่ที่ใจต่างหากที่ทำให้เธอเลือกเดินทางกลับมายังมาตุภูมิ


" อ้อ บ้านโคกติ้วติ ไปติ๊นางฟ้าวหย่างไป แต่กะบ่โดนดอก แค่กิโลเดียวกะฮอดแล้วว๊า " ลุงสีเอ่ย


" จ้าลุง หนูไปก่อนเด้อ " หญิงสาวเอ่ย มือหิ้วกระเป๋าเดินมุ่งหน้าสู่บ้านโคกติ้วซึ่งเป็นเหมือนอุ่นไอดินถิ่นไอรักของเธอ




 (ขอบคุณภาพจากอ้ายปิ่นลม พรหมจรรย์)


หญิงสาวเดินออกมาจากหมู่บ้านโคกเพ็กได้ไม่ไกลนักก็มาเจอกับผืนป่าโคกขนาดสองร้อยไร่ " โคกติ้ว " คือโคกหรือป่าชุมชนที่คนในหมู่บ้านโคกติ้วและโคกเพ็กได้อาศัยใช้ประโยชน์ร่วมกัน ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นติ้วที่มีมากมายในครั้งอดีตจนคนรุ่นเก่าต้องนำมาตั้งชื่อให้กับโคกผืนนี้ เมื่อถึงฤดูฝนโคกแห่งนี้ก็จะมาพร้อมด้วยฤดูเห็ดที่ออกดอกบานสะพรั่งและยังเป็นเสบียงเลี้ยงวิถีชุมชนคนใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี  ทว่าปัจจุบันพื้นที่โคกติ้วถูกกลืนกินหายไปเกือบสิ้น ต้นไม้ที่เคยเป็นป่าโคกแปรเปลี่ยนเวียนวนบนกองกเลส  ตอนนี้ถูกรุกคืบไปด้วยอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มีรั้วล้อมเป็นสัดส่วนพร้อมกับติดป้ายใหญ่ให้เห็นเด่นเป็นสง่า " องค์การบริหารส่วนตำบลโคกเพ็ก "   ควายกลุ่มหนึ่งกำลังเลาะเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการนัก นี่คือวิถีที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานพอสมควร แม้ทุกสิ่งดูจะเปลี่ยนแปลงไปมาก


บิม อภิชญา หญิงสาวผู้ลากรุงมุ่งสู่ถิ่นคอน เธอเดินผ่านพลางชำเลืองตามองดูต้นติ้วหลายต้นที่กำลังแตกใบเขียว คาดคะเนด้วยสายตาคงจะผ่านการบำรุงด้วยน้ำฝนมาอย่างดี ความเขียวของต้นไม้ในผืนป่าทำให้หัวใจที่อ่อนล้าเริ่มมีพลังขึ้นมาบ้างเสมือนนกน้อยได้กลับคืนสู่รังเก่าที่อบอุ่น หญิงสาวเดินผ่านควายหลายตัวที่กำลังเลาะเล็มหญ้าอยู่ริมทางทำให้เธอเผลอยิ้มนึกถึงอดีต แต่ทว่าในมโนจิตกลับนึกเห็นภาพของชายหนุ่มบ้านนาคนรักเก่าจนทำให้เค้าหน้าเปลี่ยน เวียนเป็นความเศร้าหมองมาครองที่ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยทำร้ายจิตใจเขาเมื่อปัดทิ้งเงาฝันผันสู่เมืองไกลในเมื่อสี่ปีที่แล้ว ณ ตอนนี้เธอเสียเองที่กลับเป็นฝ่ายถูกกระทำคืนบ้างจากการหยามหมิ่นของหนุ่มแดนไกลในกรุง หญิงสาวเดินปล่อยความคิดให้ล่องลอยขณะผ่านผืนโคกติ้ว สายตาเหม่อเมื่อเผลอความคิดจนจิตรุมเร้า เมื่อกลับไปถึงบ้านเธอจะต้องเจออะไรบ้าง เมื่อนึกแล้วพลันน้ำตาจะไหลเอาดื้อๆ สองเท้าเหมือนคนจะสิ้นแรงทุกทีเมื่อนึกถึงใบหน้าของหนุ่มที่เคยรัก เขาจะอยู่ยังไง เขามีใครหรือยัง เขาจะโกรธจะเกลียดเธอไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นสับสนภายในอยู่ลึกๆ


" เฮ้อ " เสียงถอนหายใจ ดวงตางอนคู่สวยมองสลับพร้อมกับสูดรับความสดชื่นเข้าเต็มปอด อ่า ไม่ว่าข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็จะยินดีรับมันให้ได้ แม้เขาจะโกรธเกลียดและไม่ยอมอภัยให้เธอ เธอก็จะยอมรับกับผลที่ออกมาให้ได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะการกระทำของตัวเธอเอง


เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงนกเขาขันประชันแข่งเป็นระยะในผืนป่า ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นบ้าง ทุกๆ เรื่องราวน้อยใหญ่ในชีวิตบางทีมันอาจจะทำให้เธอเริ่มได้ค้นพบว่า ที่จริงแล้ว ... ชีวิตนี้มันก็เป็นแค่สิ่งเรียบง่ายสิ่งหนึ่งเท่านั้น เอง หัวใจของความสุขไม่ได้อยู่ที่ความไม่ทุกข์แต่อยู่ที่ทุกข์แล้วจะปล่อยวางได้ไหม และเป้าหมายของการมีชีวิตก็ไม่ใช่การเกิดมามีทุกอย่างดั่งที่ฝันเสมอไป ชีวิตเสมือนดอกหญ้าดอกหนึ่งที่วันหนึ่งก็ต้องโบกลาต้น แสงตะวัน และโลก คงเหลือเพียงทิ้งเชื้อของตน ... ให้งอกงามเป็นต้นหญ้า ที่ประดับโลกต่อไปก็เท่านั้น   ความคิดล่อยลอยในมโนจิตทันใดนั้นพลันเสียงใบตองแห้งข้างทางกลับดังขึ้นเหมือนกับมีบางสิ่งเข้าไปสัมผัส ทำให้สายตาคู่งามต้องเบนกลับมามอง 


" กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด " เสียงหวีดร้องดังก้องป่าก็เกิดขึ้นทันที


        พังพอนตัวเขื่องวิ่งผ่านหน้าในระยะไม่ถึงสิบเมตร เนื่องด้วยสมองที่พลันคิดไปเรื่อยบวกกับการที่เจ้าพังพอนวิ่งออกมาในระยะใกล้ ทำให้เกิดอาการตกใจจนเผลอร้อง  เมื่อรู้ว่าเป็นตัวอะไรสายตาคู่งอนก็เริ่มสำรวจอีกครั้ง  เดินผ่านผืนโคกก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่มากโข พื้นที่หลายๆแปลงแต่ก่อนเคยเป็นผืนป่าโคกเชื่อมโยงกับพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันถูกล้อมรั้วเป็นสัดส่วน ภายในมีต้นยางพาราขนาดสองถึงสามปีปลูกเป็นแถวเรียงยาวจนสุดลูกตา โดยรอบมองเห็นหญ้าเกรียมไหม้คล้ายถูกสารบางอย่างฉีดพ่น  ด้านหน้าทางเข้ามีป้ายติดไว้ว่า  " ที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้า " เพื่อให้บุคคลภายนอกได้อ่านเพื่อให้รู้ซึ้งถึงกฎเกณฑ์ที่เจ้าของที่ตั้งขึ้นนั่นเอง  ความเปลี่ยนแปลงดูจะมีให้เห็นจนหญิงสาวต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ระยะเวลาเพียงสี่ปีกว่าๆที่เธอไม่อยู่บ้านมันเกิดกระแสอะไรขึ้นในชุมชนบ้าง  แค่ช่วงระยะห่างเพียงหนึ่งกิโลเมตรจากบ้านโคกเพ็กถึงบ้านโคกติ้ว มีพื้นที่ปลูกยางพาราผุดขึ้นหลายสิบแปลงเลยทีเดียว


       หญิงสาวถึงบ้านในเวลาพลบค่ำพอดี อุ่นอ้อมกอดและคำปลอบประโลมของผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองทำให้จิตใจหญิงสาวดีขึ้นมาก  รสชาดอาหารฝีมือแม่เพิ่มความสุขชื่นมื่นในค่ำคืนที่หวนสู่ทำให้เห็นรอยยิ้มจางในม่านหม่นจนบ่อยครั้งที่แม่แอบเห็น

" แม่..อ้ายรุทเลาอยู่จั่งได๋หล่ะ "  เป็นประโยคที่เธอเอ่ยถามเมื่อจัดการเก็บสำรับและล้างถ้วยเสร็จแล้ว

" มันกะอยู่ของมันซาตินั่นหล่ะนาง ตั้งแต่อิหล่าหนีมันไปเฮ็ดงานแล้วกะขาดการติดต่อ มันกะบ่เคยหัวซาไผ๋เลย ผมเผ้ากะบ่ตัด เฮ็ดหยั๋งกะบ่คือบ้านคือเมืองเขา ขะเจ้าพากันถางไฮ่ปลูกยางปลูกต้นกระดาษมันกะบ่สนใจ ขนาดมีผู้เข้ามาส่งเสริมกะบ่หัวซานำเขา แถมเฮ็ดสวนกระแสเขาอีกจักแหม่นมันหาต้นหยังกะด้อกะเดี้ยมาปลูกจนว่าฮกเต็มที่มันเอาโล้ดจนขะเจ้าว่ามันเป็นบ้าไปแล้ว อยากฮู้ว่ามันอยู่จั่งได๋มื้ออื่นกะค่อยไปเบิ่งเอาเองโล้ด"  

ผู้บังเกิดเกล้าตอบขณะที่เอนหลังพิงต้นเสาเพื่อรอให้อาหารย่อย


" อ้ายรุทเลาเปลี่ยนไปหลายเนาะแม่ คิดมาหล่ะหลูโตนเลา "

 หญิงสาวเอ่ยพร้อมเดินไปปิดหน้าต่าง ขณะที่อากาศภายนอกเริ่มครึ้มขึ้นเล็กน้อย เสียงหริ่งเรไรดังกลบความเงียบของรัตติกาลดูไร้เหมือนไร้ความวุ่นวายเสียจริงๆ  หญิงสาวนึกภาพตามคำพูดของแม่พร้อมกับนึกว้าวุ่นอยู่ไม่น้อย  เธอเข้าใจในตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นจะเป็นเช่นไรและตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาพไหน ความเหงาในใจถูกไฟความหม่นวนแทนที่ เธอเดินมานั่งลงข้างๆแม่  ตักไหนใยเล่าจะอุ่นเท่าตักแม่คงไม่มี  ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว     หญิงสาวนอนหนุนตักพร้อมกับถ่ายทอดเรื่องราวสู่ผู้บังเกิดเกล้าบ้างสลับกับคำถามที่เธอสงสัย มีเสียงหัวเราะบ้างบางคราวดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เกือบจนค่อนคืนเธอก็หลับไหลอยู่ข้างๆแม่ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยลงมาและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รุ่งสางกลิ่นจางของดอกไม้ยามค่ำคืนหอมตลบอบอวลแผ่ขจรไปทั่วบริเวณ เหมือนกับว่ายั่วยุสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างให้ลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์เฉกเช่นชายหนุ่มร่างกำยำละเมอเพ้อหากลิ่นอายอันหอมกรุ่นของเนื้อนางก็มิวางวาย..




 เสียงกาเหว่าร้องก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อเป็นการพยุงตัวเองให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสทางสังคมก็ตามที  แต่ทว่ากลับมีบุคคลบางพวกที่มีโอกาสต้นทุนทางสังคมสูงต่างกลับมุ่งแสวงหากอบโกยด้วยความไม่รู้จักพอด้วยสภาวะจิตใจที่ถูกกิเลสความอยากครอบงำอยู่หนาเตอะ บุคคลเหล่านี้ยอมที่จะกระทำได้ทุกวีถีทางแม้จะเป็นการที่ได้มาแบบไม่เป็นธรรมหรือถูกต้องก็ตามที และบุคคลจำพวกนี้นี่เองที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริง เพราะพวกเขาต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับทรัพย์สมบัติที่พวกเขาพึงได้มา อนิจจา..มนุษย์เราหนอ.. พอไม่เป็น




       รุ่งอรุณของวันแรกที่หญิงสาวตื่นต้องกลายเป็นความชื่นมื่น หลังจากเมื่อคืนฝนได้ตกดั่งว่ากลบความหมอง รอยยิ้มรอยฝันเมื่อผันผ่านวันเศร้าก็ย่อมมองเห็นเค้าลาง สายลมยามเช้าหอบเอากลิ่นหอมของผืนนาที่อยู่ไม่ไกลลอยเข้าสู่หัวใจคนจร การกลับคืนคอนบ้านดอนถิ่นเหมือนทุกข์จะสิ้นให้ยินดี หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัว หญิงสาวก็เดินเท้ามุ่งสู่ผืนนาโดยมองเห็นผืนป่าอยู่ลิบลับ โคกหนองฮัง ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งกับโคกติ้ว เป็นผืนป่าที่เคยสร้างค่าความหมายซึ่งตอนนี้กลายเป็นรอยอดีต จุดมุ่งหมายของเธอในวันนี้ก็คือ ชายคนรักเก่าตอนนี้เขาอยู่เช่นไร ชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้างหนอ 


เสียงเขียดร้องออบแอบตามผืนนาบ้างผวาเยื้องกายหลบซบกอข้าวเมื่อหญิงสาวเดินผ่าน บนคันนาที่เต็มไปด้วยผืนหญ้าเขียวถูกสายลมพัดเหนี่ยวให้เทียวไหว วิถีถิ่นไม่เคยสิ้นความนัยยังขานไขในความสมให้คงตรอง กาลเวลาผันผ่านจากม่านอดีตสู่ฮีตปัจจุบันความแปรผันย่อมบังเกิดขึ้น
หญิงสาวทอดสายตามองผ่านทุ่งนากว้าง ภาพในอดีตที่เคยดูคุ้นตาทว่าบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไปมาก การทำนาถูกยกค่าระดับกระชับความไวให้ไปตามโลกที่แข่งขัน นาหว่านมีบทบาทยากที่หลายคนจะปฏิเสธได้ ผืนนาส่วนใหญ่ของใครต่อใครกลายร่างที่เคยสร้างเป็นนาดำมาทำเป็นนาหว่าน ปุ๋ยและสารเคมีถูกรุกคืบเห็นได้ชัดจากผืนนาบางแปลงที่โชว์แข่งแย่งอวดสรรพคุณ “ ของข้าสูตรนี้ดีสูตรนี้เด่น” เห็น ฝังหลักปักป้ายคล้ายกระสอบปุ๋ยยี่ห้อดังยังผืนนาตนให้คนเห็น แต่ทว่าข้าวและหญ้าประหนึ่งว่าแข่งขันประชั้นความเขียวจนแทบแยกไม่ออก บ้างก็กระจุกตัวหนาบ้างก็ว่าหายกลายเป็นต้องซ่อมน้อมนำกล้าเพิ่มค่าแทน แต่กระนั้นก็ยังพอให้มองเห็นเค้าลางแห่งม่านมนต์เสน่ห์อยู่บ้าง สายลมหวิวพัดเอื่อยหอบเอากลิ่นความหอมของผืนดินลอยฟุ้ง อาการเมื่อยล้าจากการเดินทางดูจะจางสิ้น หญิงสาวเดินทอดสายตาพร้อมมุ่งหน้าสู่ผืนป่าด้วยใจจดจ่อ
“ บ้านเฮาเริ่มเปลี่ยนไปหลายเนาะ เพินพากันเฮ็ดนาหว่านแทนนาดำกันสิเหมิดแล้ว กบเขียดกะบ่ค่อยเห็นโตนลงคือเก่าแล้ว ตั้งแต่ก่อนหย่างนำคันแทนาบ่อึดแต่กบสิโตนลงน้ำ ”
เสียงหญิงสาวพึมพำขณะเดินผ่านนาลุงสี พลางกวาดสายตาโดยรอบ เธอสังเกตุถึงเหตุของความเปลี่ยน ความคิดนึกตรองมองถึงความเป็นไปจนหารู้ไม่ว่าขณะนี้ได้เดินมาถึงนาโคกหนองฮังของหนุ่มคนรักเก่าที่เขาเคยจาก เมื่อสายตาเห็นก็กลายเป็นมโนภาพที่วาบเข้ามาในสมองกรองเป็นเรื่องราวให้สาวไปถึงอดีต วิถีทัศน์บนจุดนี้ดูยังมีแก่น ข้าวนาดำแตกกอเขียวเทียวไหวดั่งส่งสายใยในอดีต กบน้อยคอยเต้นจ๋อมลองกระโดดไกลลงนา นี่คือผืนป่าผืนนาที่ดูมีค่าน่ามอง มันคงเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการให้เกิด เขายังอนุรักษ์ภาพเก่าๆให้คงอยู่ แม้เธอจะจากไปถึงสี่ปีแต่จุดๆนี้ก็เหมือนยังมีมนต์
โอน้อ ได้ยินฟ้าสนั่นก้อง ฮ้องสั่ง..จนฟังเหงา แท้น้อ หล่ะ เหลียวเห็นเงาทางฝน บ่อ่วยวน..คืนย้อน เปรียบงามงอนลืมคอนแล้ว บ่มีแววสิกลับถิ่น ถิ่มค่าฮอยคอยถวิล ไปหลงยิลอยู่ถิ่นก้ำ บ่หวนซ้ำสิต่าวมา
คำเอ๊ย.หนทางไกลในเมืองฟ้า บนผืนป่าเมืองปูน มีนายทุนผู้บุญหนัก สลักคำ..ให้นำอ้อน เจ้าเลยลืมคอนเค้า บ่เหลือเงาสาวบ้านป่า ปล่อยหนุ่มนาคนค่าด้อย ให้หงอยซ้ำฮ่ำคนิง แท้น้อ
.............................................................................................................................
ร่องรอยในอดีตดูเปลี่ยนแปลงจนแทบอึ้ง ที่ปลายนาของชายคนรักในอดีตที่เคยร้างถูกสร้างด้วยสีเขียวจนเธอต้องเผลอยิ้ม ต้นไม้ใหญ่ดูมีไม่กี่ต้นแต่ทว่าตอนนี้เขาสร้างป่าฝนให้คงอยู่ อนุรักษ์ สู้ ปลูกฝังให้ผืนดินยังเขียวขจี นี่หน่ะหรือคือคำว่าบ้าที่เขาถูกกล่าวหา การกระทำที่สวนกระแสใครมักถูกมองไปในทางผิด คิดแล้วก็พลันเศร้า
.......สายลมเบาดั่งพัดความเหงาเป็นม่านเงาผ่าน สายตาสาวนางบ้านโคกติ้วมองเห็นวิศรุท หนุ่มบ้านโคกที่กำลังชะโงกหน้ามองมาจากเถียงนาน้อย คล้อยกระนั้นสายตาของชายหนุ่มก็ต้องหลบเมื่อพบว่าเป็นใคร..มันทำให้หัวใจของสาวบ้านนายิ่งว้าวุ่นครุ่นคิดหนักเพราะกระอักในความผิด
“ อ้ายรุท ”
เสียงต่ำ คร่ำครวญเบาๆ เมื่อความเงาเข้าแทนที่ ไม่แปลกใจที่เขาจะเฉยชาสายตาไม่ยินดี เพราะเธอเล่นหนีลาจรไกลคอนสู่กรุง มิหนำซ้ำยังขาดการติดต่อไปหลายปีดีดัก บิม อภิชญาขยับเข้าไปใกล้ด้วยหัวใจสั่นสะท้าน ม่านเงาในอดีตทำให้จิตไหว ชายหนุ่มเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าที่เคยสดใสตอนนี้ดูไร้สิ้นเงา เสื้อผ้าหน้าผมดั่งคนเถื่อนช่างเหมือนคำคนกล่าว
“ มันกะอยู่ของมันซาดนั่นหล่ะอินาง ตั้งแต่อิหล่าหนีมันไปมันกะบ่เคยหัวซาไผเลย เฮ็ดหยังกะบ่คือบ้านคือเมืองเขา ผมเผ้ากะบ่ตัด จนขะเจ้าว่ามันเป็นบ้าไปแล้ว ”
คำของแม่ดังก้องเข้ามาเสมือนว่าจริง หญิงสาวละอายใจยิ่งในสิ่งที่เขาเห็น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นตัวตนให้คนที่เคยสัมผัสได้รู้ชัดแน่ก็คือแววตา สายตาที่ดูอบอุ่นเป็นทุนเดิมยังคงที่ หญิงสาวขยับตัวนั่งบนแผ่นไม้เถียงนามองหน้าชายหนุ่มที่ตอนนี้เขานั่งกุมความคิดด้วยจิตที่หงอย
“ อ้ายรุท อ้ายเป็นจั่งได๋แน ...บิมขอโทษที่เฮ็ดให้อ้ายเป็นแบบนี่ ”
เสียงหญิงสาวสั่นคลอ ความรู้สึกจากการบีบคั้นภายในทำให้น้ำใสๆเริ่มไหลซึมออกจากสายตาคู่คมพลางก้มหน้ามองพื้น
“ บิมมาแต่ดนแล้วบ้อ อ้ายคิดว่าบิมสิบ่กลับมาหาอ้ายอีกแล้ว ”
ประโยคนิ่งอิงสายลมดั่งม่านมนต์สะกด มันทำเอาหญิงสาวต้องพรั่งพรู ความรู้สึกกระอึกกระอักหนักอึ้งอยู่ภายในจนหัวใจแทบขาด เธอปล่อยโฮ มือสั่นเทาพลางน้าวชายหนุ่มเข้ามาสวมกอด การอภัยคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วันนี้เธอรู้แล้วว่าหัวใจของเขาหาใครเท่าเทียมได้ มันเป็นความรู้สึกที่ยากอธิบายยิ่ง นี่คือสิ่งที่เธอต้องตระหนักพร้อมสลักคำมั่นว่า ไม่ว่าวันไหนๆสัญญาใจจะไม่ร้างลาหนีหน้าเขาอีกแล้ว


....แสงสุรีย์ยามบ่ายคล้อย ฉาบแสงสีทองผ่องอำไพเสมือนเป็นหัวใจหลักให้วัฏจักรสิ่งรอบข้างดำเนินย่างตามกลไกแบบเสรีภาพ ท้องทุ่งนาเขียวขจีไปด้วยต้นข้าวที่กำลังยืนต้นงามเปรียบเหมือนดรุณีนางแรกรุ่นที่มุ่งอวดทรวดทรงสาวชวนให้หนุ่มๆต้องชายตามองแบบมิรู้เบื่อ แมลงปอสามสี่ตัวบินล้อลม บ้างก็จับตามใบข้าวเรียวทำตัวเป็นนิติเวชคล้ายกับกำลังพิสูจน์หลักฐานอะไรบางสิ่งบางอย่างอยู่แบบตั้งอกตั้งใจ โดยมีตั๊กแตนลายพรางสองตัวกำลังซุ่มตัวเงียบกัดกินแทะเล็มใบข้าวเขียวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ใกล้ๆ " แอ๊บ... แอ๊บ.. แอ๊บ.. "เสียงเขียดจะนาน้อยลอยคอส่งเสียงร้องอยู่ข้างต้นข้าวเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้ศรัตรูในชุดลายพรางเลิกก้าวล้ำรุกรานกับผู้มีพระคุณ เพราะมันใช้กอต้นข้าวแห่งนี้เป็นบ้านที่คอยซ่อนตัวหลบซบกำบังเมื่อยามมีภัย หอยโข่งตัวใหญ่กำลังขยับกายไต่ขึ้นตามลำต้นข้าวอย่างช้าๆเพื่อนำพาตัวเองขึ้นมาพักสายตามองหาวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น ต้นหญ้าขึ้นแซมเขียวขจีอยู่สองข้างคันนาที่ทอดยาวห่างออกไป ไม่ไกลนักมองเห็นหนองฮังที่ยังเห็นเค้าอดีต ตอนนี้มีต้นหม่อนและแปลงผักกลุ่มหนึ่งที่ชายหนุ่มปลูกไว้คูสระกำลังแตกใบเขียวแข่งกับใบข้าวในท้องทุ่งกว้างแบบที่ไม่มีใครยอมใครซ๊ะอย่างงั้น และคงต้องเฝ้ารอหาคณะกรรมการผู้ตัดสินมาชี้ชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ความงดงามไปครองในที่สุด....
“ บิมเอ๊ย หล่าหย่างมาทางหัวนาพ่อใหญ่สีกะระวังนำแนเด้อ ได้ยินคนเขาว่าเห็นงูทำทานอยู่แถวนั่นเด้ เดี๋ยวมันสิแล่นไล่เอา ”
ชายหนุ่มบอก พลางชำเลืองมองหญิงสาว เธอกำลังน้าวเก็บยอดฟักทองอ่อนที่ชายหนุ่มปลูกไว้ข้างเถียง น้ำเสียงเขาปนเคล้าด้วยความห่วงใย
“ เหว๋ย..เหว๋ย..งูทำทานว่าติ เป็นต๊ะใจดีเนาะอ้ายรุท บิมว่ามันบ่เป็นต๊ะย้านดอก เป็นต๊ะฮักกะด้อ งูใจบุญตั๊วนี่ ”
หญิงสาวบอกหน้าตายคล้ายยั่วจนชายหนุ่มต้องหลุดหัวเราะ พร้อมเดินเลาะเข้ามาเคาะหัวเข้าให้ไปสองปึ๊ก
“ โอเนาะ หล่ะส่างบ่มีงูสิงแล่นผ่านมาทางนี่แนเนาะ สิบอกมันเข้าสิงคน ”
เสียงชายหนุ่มพึมพำย้ำถึงความสนิทเฉกเช่นก่อน ความสดใสรอยยิ้มเริ่มดูอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แม้วิศรุทจะรู้ดีว่าเขาต้องผ่านความรู้สึกที่ยากอธิบายยิ่ง แต่ด้วยสายใยที่เคยผูกพันธ์เขายังมั่นนับวันรอ วันนี้ดอกติ้วบ้านป่า สาวนาที่เคยรักหวนกลับคืนคอนพร้อมกับคำสัญญาที่มั่น เขาก็ยินดีพร้อมให้อภัยในเมื่อหัวใจก็ยังรักเธออยู่เต็มเปี่ยม ความรักหากเข้าใจแล้วไซร้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน หากเปิดไพ่คำตอบที่กรอกมั่นก็คือคำสัญญานั่นเอง
ด้วยจิตคารวะ
บทเนื้อเรื่อง อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
ขอบคุณภาพประกอบจากพี่ปิ่นลม พรหมจรรย์

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผญาเศร้าเหงาหวาน 7 (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)



หล่าเอ๊ย ข้าวออกฮวงหน่วงล้ม ก้มก่อง..ลมไกว
เถียงนาไหวไม้ผุพัง สังกะสีตีเพิงฮ้าง
แนมหาทางซ่างมิดม้อย แนมหาฮอยซ่างมิดหมี่..แท้น้อ
จักไปดีมีโชค บ่เห็นโสกหล่ะป่องเทียว

สาวเอ๊ย เดินทางเทียวบ่เหลียวซ้ำ เจ้านำแต่ฮอยฝัน
บ่คิดหันคืนกลับ จับกระแสบ่แวโค้ง
หรือว่าหลงเมืองฟ้า ผญานางบ่ตางต่อ
คิดขึ้นมาพาใจท้อ สายลมหย่ออ้ายฝ่อแฮง ..แถ่ะเด้

สาธุเด้อ ฝากสายลมนำแจ้ง แถลงต่อน้อคำจา
คำผญาที่ว่าวอน ฝากบังอรหวนคอนบ้าง
คืนอีสานบ้านนาเค้า ชายคนเหงาเล่าตั้งต่อ
ยืนแนมทางอยู่พ้อว้อ รอคนไกลจนใจท้อ แล้วน้อเจ้า..คนเหล่าลืม

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล








โอน้อ คำหวานหวานที่ผ่านลิ้น ได้ยินต่อน้อหวานจ๋อย
หล่ะ!เหลือแต่ฮอยที่คอยขม บ่มใน..ให้ใจแป้ว
คักแท้แหล๊วแนวว่าอ้าย มีผู้หมายได้เกี้ยวก่อ
หวานเคยยอปอปั้น สัมพันธ์ร่วมบ่ฮ่วมยิล แล้วน้อ

ชายเอ๊ย ใจสลายแทบตายดิ้น สิ้นท่า..เถิงคราหมอง
ฮักเคยจองป่องเคยเทียว ถืกถอนเกลียวบ่เหลียวซ้ำ
ความระกำกระหน่ำม้าง ดั่งเพลิงผลาญจนใจฝ่อ
บ่อาจงอหล่ะต่อตั้ง สิคืนยั้งได้ดั่งเคย

โอยน้อ บ่อาจเฉยย้อนเคยเว้า ภาพความเก่ามันเนาว์ฝัง
เห็นฮอยหลังที่พังเพ จนหย่างเป๋แล้วเด้อ้าย
หมองทางกายกะหน่ายแล้ว แนวทางใจกะไข้หน่ำ
กินความหมองบนกองช้ำ ถลำล่วงตกบ่วงชาย แท้น้อ

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล







โอน้อ วิถีทางยังงามล้วน สมควรค่า..พาหมาย
แหม่นหล่วงกลายสู่ภายหลัง กะว่ายังคงไว้
คนแดนไกลได้ยอย้อง เห็นคองงามกะตามว่า
บ่ต่างหลังยังเห็นค่า แท้น้อหล่าแหม่นว่าควร

หล่ะในผืนดินทรัพย์สินล้วน มากมวลค่าหล่ะพาเห็น
ธรรมชาติเป็นดั่งเงา ได้กล่อมเกลาเอาเคียงไว้
บ่ได้ไถทำลายม้าง ให้สู่ทางจนสูญเสื่อม
เปรียบเสมือนธรรมเค้า ได้แซมเข้า..เล่าหว่างใน แท้แหล๊ว

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล





หล่าคำเอ๊ย
นั่งสวอยงอยโพนแต้ หลบเลียแผลย้อนแพ้ฮัก
น้ำตาภักดีล้น ของคนแพ้ได้แหว่เวียน
ปานถืกเจี๋ยนแล้วเฆี่ยนฟาด สาดกระสุนจนหมุ่นยับ
เจ้าสำทับจับพิษป้อน ให้หลอนล้มจนบ่มใน โอยเนาะ

คำเอ๊ย บ่าวคนไทยหน้าใสโก้ เจ้าโสย่างสู่ทางเขา น้อ
คงเห็นเงาหล่ะทางฝัน เลยบ่หันหล่ะคืนโค้ง
เปรียบดั่งหงส์ที่คงไว้ ในศักดิ์ศรีย่อมมีอยู่
บ่หมายสู่คู่ทางอ้าย ผู้กายคล้ำน้อส่ำกา ติหล่า

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล/


ผญาเศร้าเหงาหวาน 6 (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)



โอน้อ ลมสะบัดพัดพลิ้ว จากทิวป่าหัวนาดอน
สะออนในหัวใจ เห็นเมฆไหลลอยเคลื่อน
อาทิตย์เลือนสิลาร้าง ฝากฮอยจางบ่หมางถิ่น
ขอไปยิลฝ่ายก้ำ สิคืนย้ำหล่ะต่าวมา ซั้นว๊า

โอน้อ เสียงพิณดังอยู่ฝั่งฟ้า ผญาหม่วนยังชวนขับ
แคนสลับขับลายทาง ผสานคำดั่งนำเกี้ยว
ดั่งเจ้าเทียวว่าอ้าง อย่าหมางเมินจนเกินกู่
ให้ยอซูอยู่ถิ่นเค้า พิณแคนเว้าเล่าสู่ฟัง อยู่เด้อครับ

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล










โอน้อ ข้าวใบเรียว..เขียวอ้าง คิดฮอดนางแท้เด้อุ่น
เจ้าเคยหนุนตักอ้อน เสียงวอนแว่ว..อยู่นา
.....................................................
คำเอ๊ย ไปอยู่ไกลในเมืองฟ้า เจ้าลืมค่าว่าฮอยฝัน
เจ้าลืมวันที่ผันกลาย เจ้าลืมชายที่หมายอ้อน ..แล้วบ้อ
ไปออนซอนอมรฟ้า เจ้าลืมนาจนป๋าถิ่น ..แล้วหรือ
โอยน้อ เถียงนาน้อยคอยถวิล หนุ่มชาวดินยังยิลย้อง.
.....รอน้อง.หล่ะอ่วยมา อยู่เด้หล่า.....

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล








โอน้อ เสียงพิณดังฟังเสียงอ้อน จากดอนถิ่นได้ยินไกล
ฝากเสียงใสในลมฝน ปนเสียงแคนดั่งแทนอ้าง
สู่สาวนางผู้หวานลิ้น ได้กลิ่นฮอยบ้อกลอยอุ่น
ขะแยงหอมกล่อมทุ่ง ลอยฟุ้งมุ่งสู่เมือง

คำเอ๊ย ยังเห็นฮอยคอยเห็นเรื่อง เจ้าเนืองคิดสถิตย์ตรอง อยู่บ้อ
วิถีคองเจ้ามองเห็น เช่นดังคำที่นำอ้าง เบาะ
หรือหนทางเจ้างามแล้ว แนวสิ่งได๋สมใจว่า
ผลานำอยู่ก้ำฟ้า ได้พาเจ้าสู่เหล่าควร แล้วบ้อ

โอน้อ หากว่าสมบรมล้วน ในมวลสิ่งอ้ายยินดี
ฝากวจีที่ว่าควร ตามลมหวนสู่นวลน้อง
ให้สมคองที่ปองวาด ให้สมปรารถนาอุ่น
สายทางบุญเป็นทุนน้อม ถนอมตุ้มให้ซุ่มงาม เด้อหล่า

โอน้อ หล่ะหากมื้อได๋หัวใจช้ำ ให้นำพิศ..มองกลับ
ให้สดับจับค่าฮอย เด้อกลอยคำ...อ้ายนำอ้าง
ให้คืนทางอีสานก้ำ เหลียวนำทางอีสานแน
พี่ซายยืนอยู่แพ้แว้ แลแต่ทางอยู่พ้อว้อ รอเจ้า..เล่าอ่วยคืน อยู่เด๊

ภาพและบท #ผญา #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล







หล่านางเอ๊ย นั่งเหลือใจอยู่ในห่อง(ห้อง) มองภาพถ่ายแต่ภายหลัง
น้ำตาพังไหลรด หดฮ้าดหมอนที่นอนพื้น
บ่อยากฝืนน้อใจเว้า บ่อยากเอาน้อใจว่า
ปล่อยน้ำตาคนค่าด้อย ให้หลอยฮ้าดสาดที่นอน

คำเอ๊ย หัวใจหลอนจนนอนล้ม มันขมต่อน้อความหมอง
บ่ได้จองผั่นครองเอา ดั่งว่าเมาจนเฉาพ่าย
มันคงสายเกินแล้ว แนวว่าคนบ่สนฮ่วม นี่แหล๊ว
ขอแขวนนวมสวมสิทธิ์แพ้ บ่แวโค้งอ่วยคืน ดอกหล่า

โอน้อ อีกบ่โดนกะคงฟื้น สิยืนเดี่ยวเทียวทางจร
ชายปอนปอนถืกสอนมวย จากคนสวยที่รวยล้ำ
ขอเก็บคำแล้วจำไว้ ขอเก็บใจแล้วจำจื่อ
หน้าซือซือคือจั่งอ้าย ถือสิทธิ์พ่ายย้อนหน่ายเมิน.
.เจ้าเดินย้ายอ้ายหม่ายเพ..โอยเนาะ

ภาพและบท #ผญา   #อีเกียแดง แห่งรัตติกาล