เรื่องสั้นตอน ..อุ่นไอดินถิ่นรัก..
อาทิตย์ ยามบ่ายคล้อยทอแสงโอบกอด ผืนทุ่งนาข้าวจนเกิดประกายสีทองเลื่อมพราย สายลมเย็นโชยพัดผ่านอยู่เป็นระยะสะบัดช่อรวงให้ไหวเอนตามแรงประหนึ่งว่า กำลังปลดปล่อยอริยาบทแห่งห้วงความฝันที่ผสานไปด้วยจินตนาการ นกน้อยหลายตัวกระโดดโล้ดเต้นจับยอดรวงพร้อมส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ประสานเสียง คอรัสเสมือนกำลังช่วยกันเห่กล่อมท้องทุ่งสีทอง ฝูงแมลงปอบินหยอกล้อเล่นกับลมพลางสยายปีกที่มีสีสันสวยงามอวดโฉมดึงดูดสายตา แก่อาคันตุกะที่ผ่านไปผ่านมาให้หลงเสน่ห์ต้องมนต์สะกดเป็นยิ่งนัก
รถสองแถวเล็กสีฟ้าวิ่งตามถนน ลูกรังสีถ่านเพลิง พร้อมกับเสียงผู้โดยสารไอดัง แค๊ก..แค๊ก..ให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ฝุ่นสีแดงคละคลุ้งลอยปลิวว่อนตามท้าย ยังผลให้สีผมของผู้โดยสารเริ่มเปลี่ยน ต้นไม้สองข้างทางกลายเป็นสีแดงด้วยสายลมที่โอบอุ้ม หนทางที่คดเคี้ยวของถนนลูกรังผ่านเข้าไปหลายหมู่บ้าน ผ่านท้องทุ่งนา ผ่านผืนป่าโคกผ่านทางแคบสลับกับบางช่วงมีหลุมบ่อ ทำเอาผู้โดยสารนั่งโยกหัวสั่นหัวคลอนไปตามๆกันเสมือนว่ากำลังดูคอนเสิร์ตวง ฮิตจนยากที่จะเก็บสปิริตแห่งความมันส์ออกอาการให้โยกตาม ดวงอาทิตย์คล้อยตัวลงต่ำเทียบปลายไม้รถโดยสารยังคงจอดส่งผู้คนตามรายทางหลาย หมู่บ้าน เสียงคนดังจ้อกแจ้กจอแจบ้างร้องตะโกนทักทายไต่ถามขณะรถจอดส่ง การเดินทางใช้เวลาเนิ่นนานพอดูขณะนี้เหลือผู้โดยสารบนรถเพียงคนเดียว รถโดยสารยังคงบึ่งมุ่งหน้าทำหน้าที่ส่งผู้โดยสารรายสุดท้ายซึ่งเป็นหมู่บ้าน ข้างหน้า ชายหนุ่มใช้มือขยับคอเสื้อให้เข้ารูปเมื่อสายตาเริ่มมองเห็นจุดหมายอยู่ไม่ ไกล มือขวาจับเสื้อสะบัดไปมาเพื่อไล่ฝุ่นสีแดงที่แฝงตัวแซมกับเนื้อผ้า พลางชะเง้อหน้ามองแววตาคมเป็นประกายเมื่อเริ่มมองเห็นเค้าของหมู่บ้านที่ อยู่ข้างหน้า
" ลงหม่องได๋หล่ะหนุ่ม " เสียงลุงซึ่งทำหน้าที่สารถีตะโกนถามมาจากข้างหน้าขณะที่รถยังวิ่งอยู่
" จอดศาลากลางบ้านกะได้ครับลุง " ชายหนุ่มบอก สายตายังจับจ้องสภาพข้างหน้า ซึ่งขณะนี้รถวิ่งผ่านบ้านหลังแรกของหมู่บ้านมาแล้ว ไม่นานนักรถสองแถวเล็กสีฟ้าจอดนิ่งที่ศาลากลางหมู่บ้าน ชายหนุ่มขยับตัวพร้อมสะพายกระเป๋าเข้าตำแหน่งหลัง ถุงกระดาษขนาดใหญ่สองถุงที่ข้างในบรรจุเสื้อและของฝากต่างๆถูกกระชับเข้ามือ จากนั้นรถโดยสารก็วิ่งต่อไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายและ เป็นบ้านของคุณลุงสารถีนั้นเอง ชายหนุ่มขยับตัวหลังจากรถวิ่งผ่านไป ใบหน้าคมเข้มอาบด้วยรอยยิ้มนิดๆเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนเพ่งมองอยู่ข้าง หน้า
" คาต๊ะยืนยิ้มอยู่หั่นหล่ะคนกรุงเทพ..เอาถุงกระดาษมาพี้แววสิถือซ่อย " เสียงเธอค่อนขอดเขาอยู่นิดๆแต่ภายในรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆเมื่อเห็นเขากลับมา หลังจากที่เขาจากบ้านไปทำงานเก็บเงินอยู่เมืองกรุงถึงสองปี
" แววคือฮู้ว่าอ้ายสิมาฮอดเวลานี้ " ชายหนุ่มถามกลับแววตาอ่อนโยน มองใบหน้าสวยได้รูปที่อยู่ตรงหน้าเขา
" เอ๊า..อ้ายทิวบ่ฮู้ติว่าแววมีสัมผัสที่แปด..บอกว่าเอาถุงกระดาษมาพี้ " เธอบอกหน้าตายพร้อมแย่งถุงไปจากมือเขา คำพูดและกิริยาของเธอทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาแม้จะดูเหมือนว่าเธอยัง เคืองเขาอยู่บ้างที่ปล่อยให้รออยู่นานแสนนาน แต่ถึงตอนนี้ความสุขภายในใจของแววตาคงมีมากมายไม่ต่างจากเขาเฉกเช่นตอนนี้ เสียงทักทายร้องถามจากคนในหมู่บ้านขณะเดินผ่านมันทำให้ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึง ความจริงใจรู้ซึ้งในวิถี เขาไม่ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้มาแสนนาน แต่วันนี้สิ่งเก่าๆภาพเก่าๆเริ่มคืนสู่กระบวนทัศน์ที่เขาสามารถสัมผัสจับ ต้องได้ ของฝากถูกมอบให้กับคนสำคัญที่มีสัมพันธ์ทางใจ จดหมายทุกฉบับที่แววตาส่งถึงขณะที่เขาทำงานอยู่เมืองกรุงถูกดึงเข้ามาเก็บ ไว้ใต้หมอน ค่ำคืนนี้ชายหนุ่มหลับตาลงด้วยความสุขเกษม เสียงหัวเราะของแม่และพี่ๆฉาบทอหัวใจหลังจากเห็นเขากลับคืนสู่ถิ่น รอยยิ้มของแววตาสาวคนรักโอบอุ้มห่อส่งแรงทอแห่งประกายฝัน ชายหนุ่มหลับไหลไปกับค่ำคืนที่หนาวเย็นภายนอกแต่อบอุ่นไปด้วยไฟแห่งรักอยู่ ภายใน..
…สายหมอกยามเช้าดูขมุกขมัวพราวพร่าง ไปทั่วบริเวณปกคลุมถนนลูกรังสีแดงจนกลายเป็นสีขาวขุ่น บนเส้นทางสายแห่งความคิดฮอดถูกสายหมอกพัดผ่านเห็นพอเลือนลาง เสมือนบรรจงกอดไปด้วยไออุ่นแห่งรัก ถักทอไปด้วยสายใยแห่งความฝัน สายสัมพันธ์แห่งรักถูกก่อร่างสร้างตัว เสมือนตอกเสาเข็มย้ำตรึงติดแน่นจนยากที่จะแยกออกจากกันได้ แม้จะใช้รถเครนขนาด20ตันมาเคลื่อนก็ดูเหมือนจะไม่ขยับติง แต่เมื่อใดที่เธอซูนคิงฉันกลับติงและสั่นไหว ภายในดวงฤทัยกลับเร่าร้อนด้วยความอาทรแห่งคำหวานของอีนางบ้านนา ดั่งสกุณามวลวิหคที่ผกโผบินลงต่ำกระซิบย้ำกับยอดหญ้าให้รู้ว่าแม้วันเวลาจะ ผันผ่านฤดูกาลจะหมุนเวียน แต่ในความรู้สึกยังคอยย้ำเตือนไม่เคยลืมเลือนแม่คนดี..
เช้านี้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่แช่มชื่นเบิกบาน เขากลับมาทันในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี ทิวไผ่ใช้เวลาทุ่มเทเต็มที่กับการช่วยงานแม่และพี่ๆของเขาและอีกสิ่งหนึ่ง ที่ชายหนุ่มไม่เคยลืมก็คือการได้มีส่วนช่วยเก็บเกี่ยวรวงสีทองกับทางครอบ ครัวของแววตาสาวคนรักอีกด้วย แววตาถือว่าเธอเป็นคนขยันพอสมควร แปลงผักหลายๆแปลงบนคูสระน้ำขนาดใหญ่ของเธอถือกำเนิดเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของ เธอเพียงคนเดียวโดยมีสายตาจากบุพการีทั้งสองเพ่งพิศด้วยความชื่นชม การรดน้ำถือเป็นกิจวัตรในยามเย็นของเธอ บัวขนาดย่อม2ใบบรรจุน้ำเต็มเมื่อเทียบกับท่อนแขนที่ขาวเรียวสวยแล้วดูจะขัด ตาของใครหลายๆคนที่พบเห็น แต่เธอถือว่านี่คืองานที่เธอพึงกระทำและเต็มใจที่จะทำ เป็นงานที่เธอชอบ แววตารักที่จะปลูกสิ่งต่างๆและชอบเฝ้ามองดูสิ่งที่เธอปลูกบนผืนดินถิ่นอีสาน ซึ่งเป็นไอดินถิ่นรักที่เธอประจักษ์อยู่ภายในใจ
" แวว..บ่ต้องๆ เดี๋ยวอ้ายซ่อยตักฮดให้เอง " เสียงชายหนุ่มร้องบอกเมื่อมองเห็นสาวคนรักกำลังก้มตักน้ำอยู่ริมสระ พลางเร่งฝีเท้าเข้าหา
" โอ๊ะโอ๊ย..อ้ายทิว.. " เสียงสาวเจ้าร้องขึ้นเมื่อขยับตัวจะลุก บัวที่มีน้ำเต็มใบหลุดจากมือเรียวงามจมดิ่งลงสู่ใต้ก้นสระทันที
" ตู้มมม))" เสียงร่างของทิวไผ่กระทบกับผืนน้ำ เขาดำดิ่งลงลึกเพื่อควานหาบัวคนรักที่กำลังจะลงสู่ก้นบึ้ง โชคเข้าข้างชายหนุ่มเมื่อเขาคว้าเจอพร้อมทะยานตัวขึ้นสู่เหนือผิวน้ำ
" คริ..คริ..อ้ายทิวหนาวบ่จ้า " เสียงสาวเจ้าหัวเราะเอ่ยปากถามชายหนุ่มที่ลอยตุ๊บป่องเสื้อผ้าเปียกปอนมือขวายังกำบัวไว้แน่น
" หนาวหล่ะเนาะแวว..น้ำในสระเย็นคือหยั๋งหนิแถมลมข้างเทิงกะเย็นวอยๆ..เป็น หยั๋งเจ้าของคือบ่จับให้ดีๆแน ดีนะที่แววบ่พลาดตกลงไปนำ " ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ปากเริ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด
" เอ๋า..คันแววจับดี แววสิได้เห็นคนลงน้ำติ แววแกล้งปล่อยบัวเองหล่ะ..อยากเห็นคนลงน้ำ อยากให้น้ำในสระมันล้างโตล้างใจคนเมืองกรุงให้มันหล่อน..คริ..คริ.. " เสียงเธอหัวเราะลั่น พลันทำให้ชายหนุ่มต้องอมยิ้มตาม
" แววแกล้งอ้ายอีกแล้วเนาะ..แววเอ๊ย..แหม่นอ้ายสิไปอยู่กรุงเทพ..ไปอ้ายกะไป แต่โตดอก แต่ใจและจิตวิญญาณของอ้ายยังคือเก่ามันสลัดต้นกำเนิดสลัดวิถีเค้าออกจากใจ อ้ายบ่ได้ดอก..จำคำอ้ายไว้เด้อ "
ชายหนุ่มบอก ตาเป็นประกายฉายแววมองคนรักด้วยจิตเสน่หา แม้ตอนนี้ความหนาวเหน็บเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วกายแต่ความอบอุ่นภายในดูจะอุ่นไอ ยิ่งกว่าเมื่อมองเห็นใบหน้าและสายตาของเธอยืนจ้องมองเขาด้วยจิตที่อิ่ม เอม...
อุ่นไอดินถิ่นรัก ตีข้าวฟังเสียวสะนูว่าว
...ท้องนภาพราวพร่างสว่างไสวไปด้วยมวลของหมู่ดาว ทอแสงแวววาวระยิบระยับตระการตา ประหนึ่งว่าเทพเทวาเสกสรรปั้นแต่งด้วยอำนาจแห่งมนต์ มองเห็นกลุ่มดาวลูกไก่ทั้ง7ส่องแสงเจิดจรัสบัญญัติด้วยรัศมีอยู่ฟากโพ้น เสมือนแม่ไก่คอยโอบอุ้มคุ้มภัยให้ลูกน้อยด้วยความรักความห่วงใยด้วยสายใจที่ พันผูกโดยมิยอมให่ห่าง ไม่ไกลกันนักมองเห็นดวงดาวอยู่3ตำแหน่งที่ส่องประกายแสงเป็นรูปไถ ไกลออกไปอีกฟากนภากาศ มองเห็นดาวประกายพรึกหรือดาวรุ่งดวงใหญ่ทอแสงสว่างไสวอยู่ทางด้านทิศตะวัน ออกเป็นสัญญาณเตือนบอกว่าใกล้รุ่ง เสียงไก่ขันดังก้องกังวานขับขานอย่างรู้หน้าที่อีกไม่นานนักเช้าวันใหม่ก็จะ เข้ามาเยือน เสียงเขียดน้อยดังแว่วแผ่วเบาเหมือนกับว่าเหนื่อยล้าอ่อนกำลังหมดเรี่ยวแรง กับการทำหน้าที่ขับขานตลอดทั้งคืนและอีกไม่ช้าก็คงจะเงียบเสียงไปในที่สุด แต่ระยะทางของกาลเวลานี่สิยังเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่เคยหยุด หรืออ่อนล้าเอาเสียเลย
.. เพียงไม่นานสายลมเย็นโชยพัดต้องแสงสีทองของเช้าวันใหม่ก็เริ่มฉายขึ้น ท้องนภาค่อยๆเปลี่ยนสีจากความมืดมิดของรัตติกาลค่อยๆคลืบคลานสู่ความสว่าง ไสวแห่งแสงสุริยะ ท้องฟ้าเริ่มถูกโอบไปด้วยแสงสีทองอร่ามตาผสานด้วยสายหมอกจางๆดูน่าชมน่าพิศ มัยยิ่ง นี่คือผืนดินแห่งทุ่งอีสาน ดินแดนแห่งวัฒนธรรม อารยะ ขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ในตัว เสน่ห์แห่งมนตราที่นำพาทุกอณูแห่งความรู้สึก ที่ล้ำลึก ตรึงหัวใจให้ประดิพัทธ์เมื่อได้สัมผัสกับแก่นแท้ของดินแดนแห่งอารยะบน พื้นที่ราบสูง..
...เสียงนกน้อยร้องเซ็งแซ่ โผผินบินออกจากรังเพื่อหาอาหารยังชีพของมันตามวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต อากาศยามเช้าดูแสนสดชื่นนัก ต้นข้าวรวงงามถูกแสงโอบจนเกิดประกายทองเลื่อมพลาย สองร่างที่ดูต่างวัยกำลังก้มๆเงยๆสลับปรับเปลี่ยนอริยาบทขึ้นลงอย่างเป็นจัง หว่ะท่ามกลางสายลมที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณท้องทุ่ง แววตาที่มุ่งมั่นถูกผลักดันไปด้วยสรรพสิ่งโดยรอบจึงประกอบให้เกิดความอ่อน โยนอยู่ภายในลึกๆ แม้อากาศภายนอกจะดูหนาวเย็นแต่กลับเริ่มมีเหงื่อผุดเป็นเม็ดๆจากใบหน้าคม หลังจากที่เขาใช้เวลาอยู่ท้องทุ่งชั่วโมงกว่าๆ
" อีกคนละแทวกะแล้ว บ่น่าสิเกิน30ฟ่อน " ชายหนุ่มพึมพำออกมาเมื่อกวาดสายตาโดยรอบ เป็นเช้าวันที่สามแล้วที่ชายหนุ่มขันอาสามาทำหน้าที่ช่วยลุงสุขพ่อของแววตา สาวคนรักเก็บกู้ข้าวซึ่งวันนี้ก็จะแล้วเสร็จเป็นวันสุดท้าย ช่วงบ่ายก็คงน่าจะเก็บฟ่อนข้าวไปรวมไว้ที่ลานได้หมด ต่อไปก็คงจะได้เอาแรงนวดข้าวกันต่อไป
ผ่านไปประมาณ20นาทีลุงสุขและทิวไผ่ก็จัดการมัดฟ่อนข้าวจนแล้วเสร็จ ประกายรอยยิ้มผุดที่ใบหน้าเล็กน้อยเมื่อกวาดสายตามองเห็นผลงาน ความสุขภายในเริ่มเอ่อล้นเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าของแววตา.เสียงหัวเราะคำพูด ที่ชอบกระเซ้าเย้าแหย่เวลาเขานิ่งเงียบมันทำให้เธอดูมีเสน่ห์ชวนหลงยิ่ง
" ทิวเอ๊ยทิว..ป๊ะ.กลับบ้านไปกินข้าวก่อนค่อยเมืออาบน้ำเด้อ " เสียงลุงสุขร้องบอกปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ ใบหน้าคมเปื้อนยิ้มมองชายร่างเล็กที่แกร่งด้วยประสบการณ์ชีวิตอย่างนอบน้อม เขาเคารพนับถือลุงสุขเฉกเช่นพ่อของเขาอีกคน ชายต่างวัยเดินบ่ายหน้าตามคันนามุ่งสู่บ้าน..ไอจากสายหมอกจับค้างพรมผืนต้น หญ้าจนเกิดความชื้นแฉะเมื่อสองเท้าลุยฝ่า..ชายหนุ่มแกล้งเตะเท้าหยอกเล่นไป มาเมื่อเห็นต้นหญ้าบางกอยังมีเม็ดน้ำเกาะเกี่ยวหนา ใบหน้าและแววตาเริงร่าเมื่ออิสระทางใจไร้สิ่งยึดติด.
" ตุ๊บ.ตั๊บ.ตุบ.ตั๊บ.ตุ๊บ.ตั๊บ " เสียงจังหวะการฟาดของชายต่างวัย4-5คนดังแน่นสลับกันไปมาท่ามกลางแสงจันทร์ฉายแห่งรัตติกาล
" ตื๊ดดด..ตือออ..ตื๊ดดด..ตือออ..ตื๊ดดดด..ตือ " เสียงธนูว่าวดังหนัก-แผ่วขึ้นลงตามกระแสลมบน เดือนใสแจ้งสามารถมองเห็นเจ้าของเสียงที่อยู่ข้างบนได้โดยง่าย
สายลมหนาวแผ่ซ่านพัดโอบล้อมไปทั่วบริเวณส่งผลให้เกิดก่อกองไฟไม่ห่างจากลาน ข้าวนัก การฟาดข้าวนิยมฟาดตอนกลางคืนเนื่องจากอากาศไม่ร้อนพลอยทำให้เพลินไปด้วย ลานข้าวของลุงสุขถือว่าขนาดปานกลางแต่เมื่อเทียบกับผืนไร่นาทีทำนั้น ต้องยอมรับว่าผลผลิตที่ได้ดูจะมากโข รวงข้าวที่ใหญ่เม็ดงามผ่านการเอาใจใส่ดูแลด้วยภูมิปัญญาแห่งวิถี มูลสัตว์ขี้วัวขี้ควายแห้งถูกโปรยหว่านในช่วงหน้าแล้งเพื่อปรับปรุงผืนดิน ส่งผลให้ให้ก่อเกิดเลอเลิศด้วยผลดีนักเชียว
" อ้ายทิว..เหมื่อยกะพักกินน้ำก่อนจ้า..เบิ่งซงคือฟ้าวแท้..ย้านผู้อื่นเพิน ยาดตีเหมิดก่อนติ..คริ คริ " เสียงใสของแววตาทำให้ใบหน้าชายหนุ่มเปื้อนยิ้ม..นึกขำกับประโยคของเธอ เม็ดเหงื่อชุ่มเสื้อจนเริ่มเปียกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องแสงจันทร์แต่มัน เป็นเม็ดน้ำจากความเอื้ออาทรภายในที่ทิวไผ่เต็มใจทำเพื่อครอบครัวของคนที่ ตัวเองรัก ชายหนุ่มเก็บไม้ขึ้นพาดที่คอ สายตาสาวเจ้าร่างงามระหงจับจ้องมองอย่างนึกขัน
" เฮ็ดคือเนาะคน..เอาไม้หนีบคอเจ้าของกะเป็น..นี่จ้าน้ำอ้ายทิว..นั่งเซา เหมื่อยก่อน " สาวเจ้าบอกพร้อมยื่นขันน้ำส่งให้ด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ทิวไผ่รับขันน้ำพร้อมกับนั่งลงข้างๆ สายตามองลอมข้าวที่ตอนนี้ถูกฟาดหายไปเกือบครึ่ง..ไม่เกินสามชั่วโมงน่าจะ แล้วเสร็จ
" โอ๊ยยย.เนาะ..ตีข้าวนี่จั่งแหม่นเหมื่อยคิงเด้..ได้นอนหนุนตักคนฟังเสียงธนู ว่าวคือสิเซาเหมื่อยเนาะ " ทิวไผ่เอ่ยยิ้มๆ สายตาชำเลืองดูสาวเจ้าด้วยอาการเย้าหยอก
" ตุ๊บ " เสียงกำปั้นน้อยแต่ดังแน่นฟาดเข้าที่หลังชายหนุ่มไปหนึ่งทีทำให้เขาต้องหัวเราะลั่น
" โอ๊ย..คนเอ๊ย..มือน้อยๆหยั๋งมาฟาดแฮงแถ่ะ..สมพ้อเพินฟาดข้าวสะนุเเล้วเร็ว เนาะ..อ้ายตีข้าวนำกะบ่ทันแหม๋ ฮ่าๆๆ " ทิวไผ่หัวเราะชอบใจสายตามองคนรักด้วยความอ่อนโยน..
" เอ๊า..คันแววหมัดบ่หนักสิเอาคนอยู่ติจ้าอ้ายทิว..จั๊กทิวไผ่สิกลายเป็นทิว ไผ๋หล่ะ..แต่คันมาเจอกำปั้นน้อยๆของแววรับรองหลบเป็นแถวจ้า คริ คริ " หญิงสาวเย้าพร้อมชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอุ่นอิ่มด้วยความ รัก หน้าขาวอมชมพูเกิดอาการแดงเล็กน้อยเมื่อต้องแสงจันทร์ฉายมันทำให้เธอน่าพิศน่ามองยิ่ง..
บทเนื้อเรื่องโดย.. อีเกียแดง แห่งรัตติกาล