Powered By Blogger

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

ผญาเตือนใจตน ให้หนีพ้นจากคนเถียง




พี่น้องเอ๋ย จาระไนไขแจ้ง ลงแซมใส่ในอักษร
เขียนเป็นกลอนภาษา ผญาลายพอหมายเอื้อน
หล่ะพอได้เตือนตนบ้าง แนวทางได๋ให้ฮู้ป่อง นี่แหล๊ว
ให้หมั่นซอมดอมเมี้ยน อย่าเถียงฮ้ายจนหน่ายซัง
ยามที่คิดเผลอพลั้ง ให้ฟังก่อนบ่อนมันผิด เด้อครับ
บ่แหม่นเถียงเสียงกลบมิด แหม่นผิดนำทำบ่ฮู้
สิเสียหมูโอ๊ะหมู่จ้อย พลอยเสียงานหล่ะการใหญ่
แหม่นอยู่ไสบรรลัยเมี้ยน หากเถียงอ้างหล่ะต่างแนว
ฮักคงถอนหล่ะคลอนแล้ว แนวบ่งดลดคำเถียง
แค่หวังเพียงชนะเขา แต่ใจเฮาเล่าดำด้าน
ถืกความพาลกุมเกี้ยว เหลียวไปไสหัวใจขุ่น
ดังขาดทุนบุญขาดค้ำ ให้นำพ้อหล่ะต่อภัย
โอน้อ ชนะตนวนแต่ได้ หัวใจก่อน้อทางสุข
เห็นสิ่งหมางในทางทุกข์ กะลุกวางหย่างหนีได้
ชนะใจในตนแล้ว มีแต่แนวหล่ะดีว่า
บ่หัวซาไผว่าเว้า เขาเถียงมากะว่าฮู้ ยุติไว้บ่ใส่ความ นี่แหล๊วครับ
......................................................................................
การเถียง..สำเนียงย่อมไม่รื่นหูครับ ผมดึงภาพที่ให้แง่คิดในชีวิตประจำวันเฮา พร้อมกับเว้าย้ำสลับก่ายเป็นลายกลอนครับ ผู้ลังคนผั่นว่าเถียงโล้ดแหล่วแนวข่อยบ่ผิด ฮ่า... อั่นนี่กะแหม่นครับ คันบ่เถียงบ่หัวซากะแล้วไปดอก คันในสังคมเฮายอมรับฟัง เว้ากันเรื่องเหตุผลคนมีคุณธรรมกะย่อมนำสู่สิ่งดีเนาะ ขอบคุณรูปภาพประกอบ
บทผญา อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๕ กันยายน ๒๕๕๙

ผญาเศร้าเหงาหวาน 9 (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)




ชายเอ๊ย ข้าวฮวงทองก่องก้ม สามลมเหนี่ยวหล่ะเทียวไหว
ดั่งสายใยส่งถึง ตรึงสัญญาให้พาน้อม
ฉาบแสงทองละอองอ้าง ทางน้ำใสจับใบก่อ
ถืกสายลมโหมล่อ ต่อแสงจ้า..แหม่นว่างาม
โอน้อ ฝากลมวอยคอยพัดอ้าง ไปทางถิ่นเมืองหลวง
สัญญาทวงห่วงหา ผญาคำนำจาต้าน
ลืมอีสานบ้านนอก ลืมฮอดนาแล้วหว๋าพี่
ลืมสาวนาผู้นี่ หรืออ้ายมีใหม่ซ้อน บ่เห็นย้อนหล่ะต่าวเมือ
ชายเอ๊ย ฮักยังเหลือหล่ะเฟือล้น บนความห่างสายทางเหงา
ยังเห็นเงาคือเก่าหลัง ฝังอยู่ในหัวใจมั่น
แหม่นคืนวันสิผันย้าย ยังหมายคอยอ้ายต่าว
สิผ่านหนาวยาวเถิงฮ้อน บ่คลอนฮ้างทางฮักชาย แท้แหล๊ว
ภาพบทผญา อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๖ กันยายน ๒๕๕๙




โอน้อ เกิดมาดำซ้ำฮ้าย ความจนก่ายจนมายหมอง
วิถีคองมองบ่เห็น เป็นดั่งกรรมที่นำน้าว
เขย่งซาวหน่าวยื้อ กะบ่คือทางเขาเพิน
ดั่งเงากรรมคอยนำเอิ้น ให้เดินเลี่ยงเบี่ยงวน
แหม่นเฮ็ดดีหนีบ่ม้ม มันจมดิ่ง..ปานลิงกัง แท้น้อ
ดึงไม้หันอ่วยลง กะติดกงดังคงเว้า
หย่างทางเหงาเซาทางฮ้าง บ่มีทางสิบืนต่อ
สายทางเทียวเหลียวบ่พ้อ ดั่งกรรมล่อ..ก่อนำ
โอยน้อ คือความจนวนตอกย้ำ หาเซ้าค่ำทุกข์นำเหลือ
อยากคือเมืออีสาน แต่ลูกหลานยังคอยจ้อ
คอยหยังน้อ?อ๋อ..คอยเงินเจ้า กะหวังเอากินจ่าย นั่นแหล๊ว
คันบ่ตายคงขายค้า หาเงินแลก..เหงื่อแฮง..ต่อไปแหล๊วครับ
..........................................................................
ต้นทุนชีวิตแต่ละคนบ่คือกัน บทบาทหน้าที่กะย่อมมีต่างกัน เป็นกำลังแฮงใจกับพี่น้องไทยอีสานผู้ทำงานไกลถิ่น ผญายินยกอ้าง..แปงส่างทางที่ควรเด้อครับ ขอบพระคุณภาพพี่ปิ่นลมไปนำครับ 
๓ กันยายน ๒๕๕๙



โอน้อ ฝากคำจาผญาต้าน ฝากเสียงผ่านลมไป
ฝากสายใยห่วงหา สัญญาคำนำถามท้วง
แหม่นอ้ายลวงหรือหลอก บอกน้องคอยจนหงอยเปลี่ยว..แท้น้อ
อ้ายบ่เทียวหล่ะเหลียวโค้ง หลงกรุงก้วงบ่ห่วงนา แท้แหล๊ว
ชายเอ๊ย สองขวบฝนจนแทบบ้า อ้ายลืมป่าหัวนาดอน
อ้ายไกลคอนตอนยามฝน ถิ่มคนคอยให้หงอยเพ้อ
หรืออ้ายเผลอลืมแล้ว ไปหลงแนวโก้ใหม่
สานสายใยไทกรุงก้วง บ่ห่วงแล้วแทวท่งงาม..น้ออ๊าย
ภาพและบทผญา อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๙


พี่น้องเอ๋ย ฝนบ่มาหล่ะว่าแล้ง ข้าวแห้งเหี่ยวหล่ะเทียวเฉา
เหลียวหาเงาเค้าทางฝน กะจนใจในตอนนี่
ลำโขงชีมีน้ำน้อย มูลกะคอยฝนย้อยหลั่ง
อีสานยังบ่ชื่น ฟ้าครืนฮ้องบ่ฮ่อนยิน
ทางผืนป่าหล่ะว่าสิ้น ถืกกินรุกบุกฟันถาง แท้แหล๊ว
เหลียวเบิ่งทางถิ่นใด๋ หัวใจหงอยพลอยแต่กลุ้ม โอยเนาะ
ป่าบ่ซุมกลุ่มฝนก้อน กะตัดรอน..จรห่าง
สู่ป่าเขียวที่เทียวอ้าง ทางลาวพุ้นจั่งซุ่มงาม ว่าซั้น
โอยน้อ หากตรึกตรองมองเห็นบ้าง อีสานถิ่นคงยิลสม อยู่น้อ
ผืนดินคงความเขียว เหลียวไปไสคงใจชื่น
มาหวนคืนผืนดินเค้า เอาป่าฝนมาวนก่อ เด้อครับ
ให้น้ำพอน้อผ่านแล้ง ลบความหงอยที่คอยแกล้ง
....................แทนฮอยยิ้มที่อิ่มทรวง............ซั้นแหล๊ว
หลูโตนข้าวเนาะ เบิ่งทางได๋ไผกะว่าแต่ฝนบ่ตก ข้าวกะแห้งกะเหี่ยวเหมิดหล่ะ 
ภาพอิหล่าสาวภูธร
บทผญา @ อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๙

ผญาเตือนใจตน บนเส้นทางแห่งมิตร





{ผญาเตือนใจตน บนเส้นทางแห่งมิตร}
เว้าเรื่องมิตร...หากว่าคิดตรองแล้ว มีหลายแนวมากหมู่
เป็นดังครูผู้เอื้อ เป็นดังเสือผู้ร้าย หมายสิย่ำให้ต่ำลง แท้แหล๊ว
.................................................................................
พี่น้องเอ๊ย คำว่ามิตร..หากแหม่นคิดคดโค้ง บ่ตรงต่อน้อกัน
ย่อมมีวันเสื่อมหาย กลายเป็นเมินจนเขินฮ้าง
เปรียบดังทางคดเคี้ยว หากเทียวนำคงช้ำหม่น
หย่างวกวนคือคนบ้า บ่เห็นฟ้าใหม่งาม
มีแต่ทรามบ่งามแท้ ใจแย่ป่วยความซวยจับ
คบมิตรผองตรองเด้อครับ อย่ามักนำคำโสอ้าง
มิตรทางพาลหวานคำล่อ ก่ออุบายหมายกินหมู่ พุ้นแหล๊ว
มักอวดตนให้คนฮู้ ว่ากูนี่มีค่าแฮง พุ้นหน่ะ
แต่เบื้องหลังนั่นคอยแกล้ง แทงหลังหมู่ซูยามเผลอ บ๊ะ!
ปากว่าเกลอใจเผลอซัง แต่หวังเพียง.กินร่วม
นอกกายสวมผ้านวมนุ่ม แต่ในกุม.ผ้าหม่น นี่แหล๊ว
แนวคบคนจั่งซี้ คงสิมีแต่สิ่งฮ้าย มาหมายม้างให้ห่างคุณ เนาะ
พี่น้องเอ๊ย คบมิตรดีบ่มีวุ่น บุญสิก่อหล่ะยอหนุน
เส้นทางบุญสิหนุนนำ กุศลธรรมสิหนุนเพิ่ม
มิตรดีเสริมคอยเติมซ้วน หากบ่ควรล้วนติก่อ
ลับหลังบ่เว้าพื้น ให้กลืนกล้ำต่ำค่าลง
โอน้อ ฮู้จักปลีกหลีกให้ม้ม อย่าจมจ่อน้อทางสูญ ซั้นเด้อ
มิตรได๋บุญคุณได๋เหมาะ ให้เคาะคลำหล่ำตรองบ้าง
เบิ่งสันดานทางในพุ้น คุณความดีเขามีบ่
มิตรสอพลออยู่เบาะนี่ มิตรที่ดีมีบ่นั่น สำคัญใคร่ใส่มโน แท้แหล๊ว
............................................................................
การเลือกคบมิตร ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอันประเสริฐ เลือกเอาเถิดว่าเกิดแต่ดีหรือจะมีแต่เด่น จนเป็นภัย
ภาพและบทผญา อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
๗ กันยายน ๒๕๕๙

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หย่างเลาะป่า เว้าผญาจ้อยจ้อยหลอยเบิ่งวิถีบ้านเขา



โอน้อ เมฆตั้งเค้าทางเขาใหญ่ไพรหนา    หลั่งลงมาเป็นห่าฝนหล่นลงผืนล่าง
เกิดเป็นธารลำน้อยคอยไหลรวมฮ่วมก่อ    ต่อเป็นสายผืนน้ำ..งามแท้ดั่งคำ แท้แหล๊ว

.........................................................................................................................................

            หากสิเว้าถึงภูเขาลำเนาไพร สิ่งที่บ่หนีไกลจากความคิดกะคือความงดงามตามธรรมชาติ ชนชาติได๋ฮักษาผืนป่าไว้ได้กะย่อมหนีบ่ไกลจากความเป็นจริง ได้อิงได้แนบแซ่บสุขแน่นอนครับ สำหรับชาติได๋ไถม้างบ่สร้างก่อกะเตรียมนับมื้อรอป่อนคอแพ้แว่ นอนแน่ดั่งคำพี่น้องเอ๋ย

ลงบทความนี่ไว้ให้เห็น เผื่อสิเป็นประโยชน์ หากผู้ได๋โกรธเคียดกะแล้วแต่เนาะ กะแค่สิหวังเพาะความคิดให้จิตเห็นพ้องเผื่อสิมองเห็นผล  ป่านี่คือต้นฝนให้คนสุขครับนี่คือความจริงแท้  วีถีการเกษตรย่อมพึ่งพาน้ำตามครรลองหากสิมองลึกๆตรองตรึกดีๆ ผืนป่านับว่ามีคุณอนันต์ เขาสร้างสรรค์แต่สิ่งดีๆให้กับผู้คนครับ  มื้อนี่ผมหยุดงานได้มีโอกาสหย่างเลาะ เก็บความทรงจำดีๆเพราะปีหน้ากะสิได้คืนเมือบ้านแล้ว  ด้วยเป็นคนที่บ่มักแสงสีเสียงกะเลยเบี่ยงกายหลบขอเข้าซบผืนป่า นำพากล้องโตน้อยหลอยเก็บภาพรายทางครับ




  Bukhansan National Park  อุทยานแห่งชาติบุคฮันซาน ถือว่าเป็นอุทยานที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงโซล เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ครับ ตั้งโจดโกดอยู่ทางทิศเหนือของกรุงโซลย่านคังบุก โดยมีพื้นที่กว้างประมาณ78ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว ครอบคลุมพื้นที่กว่าหกอำเภอ มีพันธุ์ไม้กว่าหนึ่งพันสามร้อยสายพันธุ์ ซึ่งถือว่าอุดมสมบูรณ์เติบ เป็นภูเขาหินแกรนิตสูงชันครับ มียอดเขาแบกอุนแดเป็นจุดโฟกัส สูงเถิง836เมตรจากระดับน้ำทะเล เถิงแม้ว่าสิเป็นรองภูเรือ จังหวัดเลยบ้านเฮาที่มีความสูงเถิง1,300เมตร แต่ยอดเขาแบกอุนแดกะเฮ็ดให้ผมแย่ครับ ฮ่า   รถบ่สามารถขึ้นไปฮอดต้องปีนตลอด ถือว่าชันในระดับนึงเลย  เสื้อเปียกไปหลายรอบย้อนเหงื่อย้อยกะยังหว่า






ผมเดินทางจากที่พักใช้เวลาสองชั่วโมงค่อยมาฮอดจุดนี่ได้ อ้ายทีมงานที่มานำกันเปิดเบิ่งแผนที่แล้วกะเดินรี่นำทางครับ ผมบ่ได้เข้าเส้นใหญ่ที่ไผๆกะเลือกขึ้น  ผมเห็นต่างกะหวังสิหย่างทางน้อยๆคอยเก็บรายละเอียดริมทางครับ  ต้องยอมรับว่าบ้านขะเจ้ามีภูเขาผืนป่าเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของประเทศ และที่น่ายกย่องกะคือเขาฮักษาไว้ได้ครับ นับว่าทึ่งในสายตาผม แทบทุกจุดของประเทศสิมีพื้นที่สีเขียว มีสวนป่าให้ประชากรหย่างเหล่นรับอากาศสดชื่น  คนเกาหลีมักปีนเขา บ่ว่าสิเด็กน้อยคล้อยไปฮอดคนแก่ครับ บ่แปลกที่คนบ้านเขาสุขภาพสิแข็งแรง  ขนาดยายอายุหกสิบปีกว่ายังหย่างปีนเขาเสย โอยงึด

     มื้อได๋วันหยุดสิได้เห็นภาพแต่ละครอบครัวหย่างหัวหย่างยิ้มพากันมาหย่างเหล่นท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี เอิ้นว่าปลูกฝังให้หมั่นแก่นหวงแหนฮักษากันเลยทีเดียวครับ




หย่างนำทางมาเรื่อยๆ  สองข้างทางวางขนานเป็นระเบียบครับ  คนบ้านขะเจ้ากะมาหย่างปีนเขาเว้าจาพาทีกัน  สร้างสัมพันธ์ฉันท์มิตร



          
พอปานทางเข้าโคกบ้านเฮาเอาโล้ดเนาะ



หย่างมาพ้อดอกไม้ข้างทางครับ






พ้อเห็ดพร้อมหล่ะ โอ้เนาะ นี่คือความงามของธรรมชาติ



ต้นไม้ข้างล่างกับเส้นทางที่มุ่งเดินครับผม






    เห็ดอิหยังดอก  สีสันสวยงามแต่กลิ่นแทบคลานหนีครับ (กลิ่นบ่งามเลย)



 เส้นทางมุ่งสู่ยอดเขา คือทางเข้าโคกบ้านเฮา



เก็บตกรายทางกับความงามของป่า


แปลกตาเสียยิ่ง โอ้เนาะ แบบซี้กะมี






สองดอกนี่คุ้นตา พอปานว่าเห็ดเผิ่งบ้านเฮาครับ





เส้นทางเริ่มวกวน ฝนก็เหมือนตั้งเค้า เอาไงดี


 ผมและพี่ทีมงานเลือกเดินออกจากผืนป่า มุ่งหน้าเข้าเมืองแป๊บครับ  ฝนเหมือนจะลงเม็ดเสร็จแน่ๆแย่คักๆหากฝนโดนกล้อง  กลับไปซื้อถุงกันฝนให้กล้องก่อนหล่ะกัน



เดินกลับออกมาก็ได้ยิ้มร่าเจ้าคูก้าตัวน้อยคอยยิ้มส่งครับ  เมื่อได้ถุงกันฝนแล้วก็วนกลับคืน ตื่นตากับสองข้างทาง เห็ดเกิดก่อต่อผืนดินให้ยิลยล




















 เส้นทางวนขึ้นเรื่อยๆเล่นเอาเหนื่อยหอบครับ  อ้ายทีมงานบอกนั่งเซาเหมื่อยก่อน




ส่วนยอดเขาหลักอยู่โน่นเลย โอ๊ววว..ยังห่างไกลอีกเยอะ ไหวบ่น้อหนิ





อ่า ...พ้อบักหล่าน้อยกำลังหลอยกินเห็ดเสย น่าฮักดีครับ



ปีนขึ้นสูงปานได๋กะยังได้เห็นเห็ดอยู่  ตอนนี้เค้าฝนหายไปแล้วครับแต่กะเปียกคือเก่า ย้อนเหงื่อออก







ยิ่สูงยิ่งทึ่ง อึ้งกิมจิ



ปีนขึ้นจุดที่สูง ดูเหมือนใกล้แต่ไกลโข จะสังเกตุเห็นลูกเขากั้นสลับทับแนว อ่อยๆ เหมื่อยแล้ว



ยิ่งสูงก็ยิ่งแปลก เห็ดหยังหนิ




ยิ่งสูงยิ่งชั้น เหงื่อก็กลั่นจนเปียกแฉะ




ลูกอิหยังน้อหนิอยู่เทิงยอดเขา ต๊ะฮักแท้




เห็ดสีสันแปลกตา



เดินต่อกะหวังสิพ้อยอดเขา หย่างวนอ้อมซ้ายอ้อมขวาอยู่ โอ๊ววว ตายๆ



เอ้า...เข้าถึงโขดหิน ได้ยิลยลภาพกว้างขึ้น



นี่คืออุทยานแห่งชาติบุคฮันซานหล่ะครับ



เหลียวเห็นเมืองอยู่เบื้องล่างพุ้น  คล้ายแอ่งกะทะแต่ว่าเขาจัดระบบน้ำได้ดีเลยบ่มีปัญหาครับ



ภูเขาล้อมรอบดั่งอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติ




เก็บภาพที่ระทึกให้กับพี่ทีมงานครับ  อ้ายซายบอกว่าทริปนี่โหดเติบ หย่างจนขาสิหล่อย(เลาว่า)




ทางเดินยังเลาะชั้นตามลำดับขั้นไปเรื่อยครับ  มีบางจุดที่ชันอีหลีกะสิมีบันไดให้เห็นแบบนี่หล่ะ



เห็ดกะยังเกิดอยู่ตลอดตามทางที่หย่างไป หัวใจกะพอได้ยิ้มครับ




ผมหย่างสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนฮอดป้อมกำแพง สำหรับ Bukhansan National Park นั้นเป็นพื้นที่ที่มีการเว้าเถิงมาตั้งเเต่ในสมัยของอาณาจักชิลลา เเละได้มีการสร้างป้อมปราการไว้หลายจุดตลอดเเนวเกือบ 8 กิโลเมตร เเถมยังมีวัดวาอารามที่สร้างไว้อีกหลายหม่องครับ เเละมีพระพุทธรูปหินแกะสลัก ประดิษฐานไว้อีกนำ โดยสร้างจากหินเเกรนิตขนาดใหญ่เลยทีเดียว โดยจุดที่นักท่องเที่ยวมักนิยมมาเที่ยวชมอีกจุดกะคือ ป้อมบุคฮันซานซอง ที่มีความเก่าเเก่เเละมีวิวที่สวยงามเป็นอย่างมากอีกด้วย  ผมหย่างมาฮอดจุดนี่กะระยะทางแล้วบ่ต่ำกว่าเจ็ดกิโลเมตรครับตั้งแต่เริ่ม ขาเริ่มล้าแน่แต่ยอดเขายังอีกไกล กะเลยตัดสินใจลงข้างล่างนำเสียงกระแสน้ำที่ดังล่อต่อหัวใจ ไปบ่ฮอดเทือหน้าค่อยกลับมาใหม่(คิดในใจ)




         เมื่อเดินลงต่ำนำเสียงน้ำ กะเห็นความงามไปอีกแบบครับ  



เป็นภาพที่เย้ายวนสายตายิ่งนัก



นี่คือการรักษาต้นไม้อีกแบบครับ  กันแนวเจาะเป็นเกราะป้องกันอีกทาง ดีเนาะเขาให้ความสำคัญเติบ







เห็ดกะยังเกิดอยู่แทบทุกหม่อง



หย่างลงมาประมาณสิบกว่านาทีกะมีสายน้ำให้เห็นแล้วครับ ไหลมาจากหลายๆทางโฮมกัน




กลั่นเป็นสายน้ำตกสั่นแหล่ว




คนบ้านเพินกะออกมาหาเหล่น สังเกตุเห็นแล้วกะวินนิดหน่อย คอยเหล่นโทรศัพย์จับบ่วาง ปานอยู่คนละทางคนละหม่องเอาโล้ดเนาะ




ผมผล่ะออกมาหาน้ำกินแก้เหมื่อยก่อนครับ  เย็นสดชื่นแฮง



น้ำจากป่าเขาลำเนาไพร เย็นใสสดชื่นยิ่งนัก




สายตาเหลือบไปเห็นเห็ดอีกหล่ะ



คือเห็ดหน้างัวบ้านเฮาคัก







นี่กะว่าแหม่นเห็ดเผิ่งคักๆ




นี่คือความสมบูรณ์ของผืนป่าจั่งได้นำพาสิ่งนี่ครับ




ผมเดินลงมาถึงด้านล่าง มองเห็นยอดเขาขาวตะหง่านอยู่ด้านหลังพุ้น




หูแว่วได้ยินเสียงดนตรีก็เลยปรี่ขึ้นไปดูอีกกิโลกว่าๆ โอยเนาะ ขากะเริ่มหล่อยเลาะหล่อยเลาะ ฮ่า




เห็ดดอกนี่ปานเห็ดน้ำหมากบ้านเฮาคักๆ



เสียงดนตรี ณ ที่นี่  อ้อ  เพินมีวัดอยู่นั่นเองครับ




ยกมือไหว้พระแล้วกะผล่ะลงมา กะว่าย้านมันสิค่ำก่อน



ส่วนยอดเขาแบกอุนแดจากจุดนี่ยังเหลืออยู่อีกเกือบสองกิโลเมตร  ไว้โอกาสหน้าสิคืนมาแก้โตครับ รับรองบ่พลาด มันสิค่ำแล้วขอเมือคืน




ขากลับ หย่างขนานมากับเส้นทางสายหลักครับ แบบนี่ไคแนเนาะ เบาะๆทริปนี่ 10กิโลเมตรบ่ขาดครับ













เสียงน้ำไหลอยู่ข้างล่างดังแว่ว





บ่แคล้วพ้อเห็ดอีกหล่ะ




ความงามที่ธรรมชาติมอบให้ครับ



ดั่งสายใยสู่สายใจให้คนได้ชื่น  นี่คือความงดงามจากผืนป่าที่ให้คุณค่าอนันต์ ขอแค่ฮ่วมกันฮักษา สิ่งที่นำพาย่อมเกิดสุข เกาหลีใต้เป็นประเทศที่รักษาธรรมชาติไว้คงอยู่ ผู้คนให้ความสำคัญ คือผิดกันกับบ้านเฮาแถ่ะ ที่พากันแทะเล็มกิน ไถม้างสร้างประโยชน์ส่วนตนวนรุกคืบ บุกรุกป่า ว่าเจ้าของมีอำนาจกะประกาศศักดาโหยหามาครอบครอง  หากบ่ตรองคิดกะมีแต่สิฉิบหายวายวอดถ่อนแหล่วครับ

อีเกียแดง แห่งรัตติกาล