Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่องสั้นแนวอีสานเรื่อง ดอกติ้วคืนถิ่น (โดย อีเกียแดง แห่งรัตติกาล)

(ขอบคุณภาพจากอ้ายปิ่นลม พรหมจรรย์)

เรื่องสั้นเรื่องนี้ถูกดึงขึ้นจากจินตนาการเท่านั้น มิได้ส่อเสียดหรือเสียดสีใครครับ ร่วมสำนึกรักบ้านเกิดไปด้วยกันครับ


อาทิตย์ยามบ่ายคล้อยทอแสงสีทองส่องประกายเลื่อมพรายโอบกอดผืนดินถิ่นอีสานประดุจแผ่นดินทอง ม่านแห่งสายลมโชยพัดผ่านดังหวิวแว่วแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ ต้นไม้พริ้วสะบัดใบรับเสมือนหยอกล้อเล่นประหนึ่งว่ากำลังปลดปล่อยอริยาบทในห้วงความฝันที่ผสานไปด้วยจินตนาการในม่านสายลม นกน้อยหลายตัวกระโดดโล้ดเต้นจับบนกิ่งก้านพร้อมส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ประสานเสียงคอรัสเหมือนกำลังช่วยกันเห่กล่อมท้องทุ่งอีสานให้คลายความหม่นหมอง ฝูงแมลงปอบินหยอกล้อเล่นกับสายลมพลางสยายปีกที่มีสีสันสวยงามอวดโฉมดึงดูดสายตาแก่อาคันตุกะที่ผ่านไปผ่านมาให้หลงเสน่ห์ต้องมนต์สะกดจนเกิดปฎิพัทธิ์


รถสองแถวเล็กสีฟ้าเก่าๆวิ่งมาตามถนนทางหลวงหมายเลข2074 พร้อมกับเสียงผู้โดยสารคุยกันให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เมื่อผ่านหมู่บ้านคราใดก็จะได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับการจอดส่งของรถสองแถวหรือบ้างก็จอดรับรายทางเมื่อมีคนเรียก กระเป๋าสัมภาระต่างๆถูกยกลงเมื่อเจ้าของถึงที่หมาย ณ เวลานี้บนรถเริ่มบางตา เสียงพูดคุยก็เริ่มค่อยๆเงียบลงเมื่อรถวิ่งห่างจากตัวจังหวัดมากขึ้นทุกที โชว์เฟอร์มาดเก๋าอย่างลุงสียังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เสียงเพลงรักเก่าที่บ้านเกิดดั่งหวานแว่วมาจากเครื่องเล่นเทปผสานกับเสียงลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างของรถจนบางทีทำให้เสียอรรถรสไปบ้าง แต่หาได้เกิดปัญหากับลุงสีไม่ เสียงผิวปากดังก้องอย่างคนอารมณ์ดีผสานไปกับเสียงเพลงและสายลมได้อย่างลงตัว


ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำเทียบปลายไม้รถโดยสารยังคงจอดส่งผู้คนตามรายทางหลายหมู่บ้าน เสียงคนดังจ้อกแจ้กจอแจบ้างร้องตะโกนทักทายไต่ถามขณะรถจอดส่ง จวบจนสี่โมงเย็นรถสองแถววิ่งมุ่งหน้าสู่ปลายทางซึ่งมองเห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก การเดินทางใช้เวลาพอสมควรขณะนี้เหลือผู้โดยสารบนรถเพียงคนเดียว รถโดยสารยังคงบึ่งมุ่งหน้าทำหน้าที่ส่งผู้โดยสารรายสุดท้ายซึ่งเป็นหมู่บ้านข้างหน้าและสิ้นสุดระยะทาง หญิงสาวใช้มือขยับคอเสื้อให้เข้ารูปเมื่อสายตาเริ่มมองเห็นจุดหมายอยู่ไม่ไกล มือขวาจับเสื้อสะบัดไปมาเพื่อไล่ฝุ่นผงที่ติดแซมเสื้อ


" บุรีรัมย์-โคกเพ " 


สายตาของหญิงสาวชำเลืองดูสติ๊กเกอร์ตัวหนังสือที่เขียนติดไว้ข้างรถพลางนึกขำ ถ้าเป็นคนนอกพื้นที่มาเจอแบบนี้คงเล่นเอางงเหมือนกัน แต่เมื่อดูตามสถาพของรถแล้วก็ไม่นึกแปลกใจ มันคงจะหลุดลอกออกไปกับกาลเวลา คนขับเองก็คงไม่มีเวลามาสนใจกับมันเป็นแน่ จะเอาอะไรมากมายขอให้วิ่งรับส่งผู้โดยสารถึงที่หมายก็บุญโขแล้วหล่ะ


" ลงหม่องได๋หล่ะอีนาง "

เสียงลุงสีซึ่งทำหน้าที่สารถีตะโกนถามมาจากข้างหน้าพร้อมกับถอนคันเร่งชะลอความเร็วลงเมื่อถึงหมู่บ้านโคกเพ็ก


" จอดศาลากลางหมู่บ้านกะได้จ้าลุง "

ใบหน้าหวานแต่แฝงด้วยแววตาเศร้าตอบกลับไปพร้อมกับขยับตัว มือขวาถือกระเป๋าขึ้นกระชับเมื่อรถสองแถวจอดสนิทนิ่ง หญิงสาวก้าวลงพร้อมด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาจากกรุงเทพ ใบหน้าหมองเปื้อนยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณยายที่นั่งเล่นอยู่ที่ศาลากลางหมู่บ้านส่งยิ้มทักทายมา


" จักบาทจ้าลุง " หญิงสาวเอ่ยพลางเปิดกระเป๋าสตางค์


" ยี่สิบบาทอีนาง โตแหม่นคนบ้านโคกเพ็กอยู่ติ ลุงคือบ่คุ้นหน้าปานได๋ " โชว์เฟอร์วัยเก๋าเอ่ยถาม มือขวายื่นรับแบงค์ยี่สิบจากหญิงสาว


" หนูเป็นคนบ้านโคกติ้วจ้าลุง ไปเฮ็ดงานอยู่กรุงเทพ กลับมายามบ้านจ้า "

หญิงสาวบอกซ่อนแววตาเศร้าแต่ในความจริงนั้นบาดแผลใหญ่ที่ใจต่างหากที่ทำให้เธอเลือกเดินทางกลับมายังมาตุภูมิ


" อ้อ บ้านโคกติ้วติ ไปติ๊นางฟ้าวหย่างไป แต่กะบ่โดนดอก แค่กิโลเดียวกะฮอดแล้วว๊า " ลุงสีเอ่ย


" จ้าลุง หนูไปก่อนเด้อ " หญิงสาวเอ่ย มือหิ้วกระเป๋าเดินมุ่งหน้าสู่บ้านโคกติ้วซึ่งเป็นเหมือนอุ่นไอดินถิ่นไอรักของเธอ




 (ขอบคุณภาพจากอ้ายปิ่นลม พรหมจรรย์)


หญิงสาวเดินออกมาจากหมู่บ้านโคกเพ็กได้ไม่ไกลนักก็มาเจอกับผืนป่าโคกขนาดสองร้อยไร่ " โคกติ้ว " คือโคกหรือป่าชุมชนที่คนในหมู่บ้านโคกติ้วและโคกเพ็กได้อาศัยใช้ประโยชน์ร่วมกัน ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นติ้วที่มีมากมายในครั้งอดีตจนคนรุ่นเก่าต้องนำมาตั้งชื่อให้กับโคกผืนนี้ เมื่อถึงฤดูฝนโคกแห่งนี้ก็จะมาพร้อมด้วยฤดูเห็ดที่ออกดอกบานสะพรั่งและยังเป็นเสบียงเลี้ยงวิถีชุมชนคนใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี  ทว่าปัจจุบันพื้นที่โคกติ้วถูกกลืนกินหายไปเกือบสิ้น ต้นไม้ที่เคยเป็นป่าโคกแปรเปลี่ยนเวียนวนบนกองกเลส  ตอนนี้ถูกรุกคืบไปด้วยอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มีรั้วล้อมเป็นสัดส่วนพร้อมกับติดป้ายใหญ่ให้เห็นเด่นเป็นสง่า " องค์การบริหารส่วนตำบลโคกเพ็ก "   ควายกลุ่มหนึ่งกำลังเลาะเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการนัก นี่คือวิถีที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานพอสมควร แม้ทุกสิ่งดูจะเปลี่ยนแปลงไปมาก


บิม อภิชญา หญิงสาวผู้ลากรุงมุ่งสู่ถิ่นคอน เธอเดินผ่านพลางชำเลืองตามองดูต้นติ้วหลายต้นที่กำลังแตกใบเขียว คาดคะเนด้วยสายตาคงจะผ่านการบำรุงด้วยน้ำฝนมาอย่างดี ความเขียวของต้นไม้ในผืนป่าทำให้หัวใจที่อ่อนล้าเริ่มมีพลังขึ้นมาบ้างเสมือนนกน้อยได้กลับคืนสู่รังเก่าที่อบอุ่น หญิงสาวเดินผ่านควายหลายตัวที่กำลังเลาะเล็มหญ้าอยู่ริมทางทำให้เธอเผลอยิ้มนึกถึงอดีต แต่ทว่าในมโนจิตกลับนึกเห็นภาพของชายหนุ่มบ้านนาคนรักเก่าจนทำให้เค้าหน้าเปลี่ยน เวียนเป็นความเศร้าหมองมาครองที่ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยทำร้ายจิตใจเขาเมื่อปัดทิ้งเงาฝันผันสู่เมืองไกลในเมื่อสี่ปีที่แล้ว ณ ตอนนี้เธอเสียเองที่กลับเป็นฝ่ายถูกกระทำคืนบ้างจากการหยามหมิ่นของหนุ่มแดนไกลในกรุง หญิงสาวเดินปล่อยความคิดให้ล่องลอยขณะผ่านผืนโคกติ้ว สายตาเหม่อเมื่อเผลอความคิดจนจิตรุมเร้า เมื่อกลับไปถึงบ้านเธอจะต้องเจออะไรบ้าง เมื่อนึกแล้วพลันน้ำตาจะไหลเอาดื้อๆ สองเท้าเหมือนคนจะสิ้นแรงทุกทีเมื่อนึกถึงใบหน้าของหนุ่มที่เคยรัก เขาจะอยู่ยังไง เขามีใครหรือยัง เขาจะโกรธจะเกลียดเธอไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นสับสนภายในอยู่ลึกๆ


" เฮ้อ " เสียงถอนหายใจ ดวงตางอนคู่สวยมองสลับพร้อมกับสูดรับความสดชื่นเข้าเต็มปอด อ่า ไม่ว่าข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็จะยินดีรับมันให้ได้ แม้เขาจะโกรธเกลียดและไม่ยอมอภัยให้เธอ เธอก็จะยอมรับกับผลที่ออกมาให้ได้ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะการกระทำของตัวเธอเอง


เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงนกเขาขันประชันแข่งเป็นระยะในผืนป่า ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นบ้าง ทุกๆ เรื่องราวน้อยใหญ่ในชีวิตบางทีมันอาจจะทำให้เธอเริ่มได้ค้นพบว่า ที่จริงแล้ว ... ชีวิตนี้มันก็เป็นแค่สิ่งเรียบง่ายสิ่งหนึ่งเท่านั้น เอง หัวใจของความสุขไม่ได้อยู่ที่ความไม่ทุกข์แต่อยู่ที่ทุกข์แล้วจะปล่อยวางได้ไหม และเป้าหมายของการมีชีวิตก็ไม่ใช่การเกิดมามีทุกอย่างดั่งที่ฝันเสมอไป ชีวิตเสมือนดอกหญ้าดอกหนึ่งที่วันหนึ่งก็ต้องโบกลาต้น แสงตะวัน และโลก คงเหลือเพียงทิ้งเชื้อของตน ... ให้งอกงามเป็นต้นหญ้า ที่ประดับโลกต่อไปก็เท่านั้น   ความคิดล่อยลอยในมโนจิตทันใดนั้นพลันเสียงใบตองแห้งข้างทางกลับดังขึ้นเหมือนกับมีบางสิ่งเข้าไปสัมผัส ทำให้สายตาคู่งามต้องเบนกลับมามอง 


" กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด " เสียงหวีดร้องดังก้องป่าก็เกิดขึ้นทันที


        พังพอนตัวเขื่องวิ่งผ่านหน้าในระยะไม่ถึงสิบเมตร เนื่องด้วยสมองที่พลันคิดไปเรื่อยบวกกับการที่เจ้าพังพอนวิ่งออกมาในระยะใกล้ ทำให้เกิดอาการตกใจจนเผลอร้อง  เมื่อรู้ว่าเป็นตัวอะไรสายตาคู่งอนก็เริ่มสำรวจอีกครั้ง  เดินผ่านผืนโคกก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่มากโข พื้นที่หลายๆแปลงแต่ก่อนเคยเป็นผืนป่าโคกเชื่อมโยงกับพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันถูกล้อมรั้วเป็นสัดส่วน ภายในมีต้นยางพาราขนาดสองถึงสามปีปลูกเป็นแถวเรียงยาวจนสุดลูกตา โดยรอบมองเห็นหญ้าเกรียมไหม้คล้ายถูกสารบางอย่างฉีดพ่น  ด้านหน้าทางเข้ามีป้ายติดไว้ว่า  " ที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้า " เพื่อให้บุคคลภายนอกได้อ่านเพื่อให้รู้ซึ้งถึงกฎเกณฑ์ที่เจ้าของที่ตั้งขึ้นนั่นเอง  ความเปลี่ยนแปลงดูจะมีให้เห็นจนหญิงสาวต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ระยะเวลาเพียงสี่ปีกว่าๆที่เธอไม่อยู่บ้านมันเกิดกระแสอะไรขึ้นในชุมชนบ้าง  แค่ช่วงระยะห่างเพียงหนึ่งกิโลเมตรจากบ้านโคกเพ็กถึงบ้านโคกติ้ว มีพื้นที่ปลูกยางพาราผุดขึ้นหลายสิบแปลงเลยทีเดียว


       หญิงสาวถึงบ้านในเวลาพลบค่ำพอดี อุ่นอ้อมกอดและคำปลอบประโลมของผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองทำให้จิตใจหญิงสาวดีขึ้นมาก  รสชาดอาหารฝีมือแม่เพิ่มความสุขชื่นมื่นในค่ำคืนที่หวนสู่ทำให้เห็นรอยยิ้มจางในม่านหม่นจนบ่อยครั้งที่แม่แอบเห็น

" แม่..อ้ายรุทเลาอยู่จั่งได๋หล่ะ "  เป็นประโยคที่เธอเอ่ยถามเมื่อจัดการเก็บสำรับและล้างถ้วยเสร็จแล้ว

" มันกะอยู่ของมันซาตินั่นหล่ะนาง ตั้งแต่อิหล่าหนีมันไปเฮ็ดงานแล้วกะขาดการติดต่อ มันกะบ่เคยหัวซาไผ๋เลย ผมเผ้ากะบ่ตัด เฮ็ดหยั๋งกะบ่คือบ้านคือเมืองเขา ขะเจ้าพากันถางไฮ่ปลูกยางปลูกต้นกระดาษมันกะบ่สนใจ ขนาดมีผู้เข้ามาส่งเสริมกะบ่หัวซานำเขา แถมเฮ็ดสวนกระแสเขาอีกจักแหม่นมันหาต้นหยังกะด้อกะเดี้ยมาปลูกจนว่าฮกเต็มที่มันเอาโล้ดจนขะเจ้าว่ามันเป็นบ้าไปแล้ว อยากฮู้ว่ามันอยู่จั่งได๋มื้ออื่นกะค่อยไปเบิ่งเอาเองโล้ด"  

ผู้บังเกิดเกล้าตอบขณะที่เอนหลังพิงต้นเสาเพื่อรอให้อาหารย่อย


" อ้ายรุทเลาเปลี่ยนไปหลายเนาะแม่ คิดมาหล่ะหลูโตนเลา "

 หญิงสาวเอ่ยพร้อมเดินไปปิดหน้าต่าง ขณะที่อากาศภายนอกเริ่มครึ้มขึ้นเล็กน้อย เสียงหริ่งเรไรดังกลบความเงียบของรัตติกาลดูไร้เหมือนไร้ความวุ่นวายเสียจริงๆ  หญิงสาวนึกภาพตามคำพูดของแม่พร้อมกับนึกว้าวุ่นอยู่ไม่น้อย  เธอเข้าใจในตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นจะเป็นเช่นไรและตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาพไหน ความเหงาในใจถูกไฟความหม่นวนแทนที่ เธอเดินมานั่งลงข้างๆแม่  ตักไหนใยเล่าจะอุ่นเท่าตักแม่คงไม่มี  ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว     หญิงสาวนอนหนุนตักพร้อมกับถ่ายทอดเรื่องราวสู่ผู้บังเกิดเกล้าบ้างสลับกับคำถามที่เธอสงสัย มีเสียงหัวเราะบ้างบางคราวดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เกือบจนค่อนคืนเธอก็หลับไหลอยู่ข้างๆแม่ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยลงมาและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รุ่งสางกลิ่นจางของดอกไม้ยามค่ำคืนหอมตลบอบอวลแผ่ขจรไปทั่วบริเวณ เหมือนกับว่ายั่วยุสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างให้ลุ่มหลงในมนต์เสน่ห์เฉกเช่นชายหนุ่มร่างกำยำละเมอเพ้อหากลิ่นอายอันหอมกรุ่นของเนื้อนางก็มิวางวาย..




 เสียงกาเหว่าร้องก้องยามใกล้รุ่งสาง เป็นสัณญาณคอยปลุกเตือนให้กับสรรพสิ่งรอบข้างให้ตื่นจากความหลับใหล ภารกิจหน้าที่ของแต่ละชีวิตต่างก็มีบทบาทหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายต่างเส้นทางต่างวาระและต่างเวลากันออกไป แต่ภาพโดยรวมแล้วทุกๆชีวิตต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เพื่อปากเพื่อท้องของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อเป็นการพยุงตัวเองให้พ้นจากความลำบากยากเข็ญ ความต้องการของแต่ละชีวิตมีมาก-น้อย ต่างขึ้นอยู่กับกิเลสและสภาวะแห่งจิตใจของแต่ละบุคคล บุคคลไหนที่รู้จักความพอเพียงหรือพอดีก็สามารถทำให้ชีวิตเกิดประกายแห่งความสุขได้ถึงแม้จะเกิดมาบนเส้นทางที่ด้อยโอกาสทางสังคมก็ตามที  แต่ทว่ากลับมีบุคคลบางพวกที่มีโอกาสต้นทุนทางสังคมสูงต่างกลับมุ่งแสวงหากอบโกยด้วยความไม่รู้จักพอด้วยสภาวะจิตใจที่ถูกกิเลสความอยากครอบงำอยู่หนาเตอะ บุคคลเหล่านี้ยอมที่จะกระทำได้ทุกวีถีทางแม้จะเป็นการที่ได้มาแบบไม่เป็นธรรมหรือถูกต้องก็ตามที และบุคคลจำพวกนี้นี่เองที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริง เพราะพวกเขาต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังกับทรัพย์สมบัติที่พวกเขาพึงได้มา อนิจจา..มนุษย์เราหนอ.. พอไม่เป็น




       รุ่งอรุณของวันแรกที่หญิงสาวตื่นต้องกลายเป็นความชื่นมื่น หลังจากเมื่อคืนฝนได้ตกดั่งว่ากลบความหมอง รอยยิ้มรอยฝันเมื่อผันผ่านวันเศร้าก็ย่อมมองเห็นเค้าลาง สายลมยามเช้าหอบเอากลิ่นหอมของผืนนาที่อยู่ไม่ไกลลอยเข้าสู่หัวใจคนจร การกลับคืนคอนบ้านดอนถิ่นเหมือนทุกข์จะสิ้นให้ยินดี หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัว หญิงสาวก็เดินเท้ามุ่งสู่ผืนนาโดยมองเห็นผืนป่าอยู่ลิบลับ โคกหนองฮัง ซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งกับโคกติ้ว เป็นผืนป่าที่เคยสร้างค่าความหมายซึ่งตอนนี้กลายเป็นรอยอดีต จุดมุ่งหมายของเธอในวันนี้ก็คือ ชายคนรักเก่าตอนนี้เขาอยู่เช่นไร ชายหนุ่มเป็นอย่างไรบ้างหนอ 


เสียงเขียดร้องออบแอบตามผืนนาบ้างผวาเยื้องกายหลบซบกอข้าวเมื่อหญิงสาวเดินผ่าน บนคันนาที่เต็มไปด้วยผืนหญ้าเขียวถูกสายลมพัดเหนี่ยวให้เทียวไหว วิถีถิ่นไม่เคยสิ้นความนัยยังขานไขในความสมให้คงตรอง กาลเวลาผันผ่านจากม่านอดีตสู่ฮีตปัจจุบันความแปรผันย่อมบังเกิดขึ้น
หญิงสาวทอดสายตามองผ่านทุ่งนากว้าง ภาพในอดีตที่เคยดูคุ้นตาทว่าบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไปมาก การทำนาถูกยกค่าระดับกระชับความไวให้ไปตามโลกที่แข่งขัน นาหว่านมีบทบาทยากที่หลายคนจะปฏิเสธได้ ผืนนาส่วนใหญ่ของใครต่อใครกลายร่างที่เคยสร้างเป็นนาดำมาทำเป็นนาหว่าน ปุ๋ยและสารเคมีถูกรุกคืบเห็นได้ชัดจากผืนนาบางแปลงที่โชว์แข่งแย่งอวดสรรพคุณ “ ของข้าสูตรนี้ดีสูตรนี้เด่น” เห็น ฝังหลักปักป้ายคล้ายกระสอบปุ๋ยยี่ห้อดังยังผืนนาตนให้คนเห็น แต่ทว่าข้าวและหญ้าประหนึ่งว่าแข่งขันประชั้นความเขียวจนแทบแยกไม่ออก บ้างก็กระจุกตัวหนาบ้างก็ว่าหายกลายเป็นต้องซ่อมน้อมนำกล้าเพิ่มค่าแทน แต่กระนั้นก็ยังพอให้มองเห็นเค้าลางแห่งม่านมนต์เสน่ห์อยู่บ้าง สายลมหวิวพัดเอื่อยหอบเอากลิ่นความหอมของผืนดินลอยฟุ้ง อาการเมื่อยล้าจากการเดินทางดูจะจางสิ้น หญิงสาวเดินทอดสายตาพร้อมมุ่งหน้าสู่ผืนป่าด้วยใจจดจ่อ
“ บ้านเฮาเริ่มเปลี่ยนไปหลายเนาะ เพินพากันเฮ็ดนาหว่านแทนนาดำกันสิเหมิดแล้ว กบเขียดกะบ่ค่อยเห็นโตนลงคือเก่าแล้ว ตั้งแต่ก่อนหย่างนำคันแทนาบ่อึดแต่กบสิโตนลงน้ำ ”
เสียงหญิงสาวพึมพำขณะเดินผ่านนาลุงสี พลางกวาดสายตาโดยรอบ เธอสังเกตุถึงเหตุของความเปลี่ยน ความคิดนึกตรองมองถึงความเป็นไปจนหารู้ไม่ว่าขณะนี้ได้เดินมาถึงนาโคกหนองฮังของหนุ่มคนรักเก่าที่เขาเคยจาก เมื่อสายตาเห็นก็กลายเป็นมโนภาพที่วาบเข้ามาในสมองกรองเป็นเรื่องราวให้สาวไปถึงอดีต วิถีทัศน์บนจุดนี้ดูยังมีแก่น ข้าวนาดำแตกกอเขียวเทียวไหวดั่งส่งสายใยในอดีต กบน้อยคอยเต้นจ๋อมลองกระโดดไกลลงนา นี่คือผืนป่าผืนนาที่ดูมีค่าน่ามอง มันคงเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการให้เกิด เขายังอนุรักษ์ภาพเก่าๆให้คงอยู่ แม้เธอจะจากไปถึงสี่ปีแต่จุดๆนี้ก็เหมือนยังมีมนต์
โอน้อ ได้ยินฟ้าสนั่นก้อง ฮ้องสั่ง..จนฟังเหงา แท้น้อ หล่ะ เหลียวเห็นเงาทางฝน บ่อ่วยวน..คืนย้อน เปรียบงามงอนลืมคอนแล้ว บ่มีแววสิกลับถิ่น ถิ่มค่าฮอยคอยถวิล ไปหลงยิลอยู่ถิ่นก้ำ บ่หวนซ้ำสิต่าวมา
คำเอ๊ย.หนทางไกลในเมืองฟ้า บนผืนป่าเมืองปูน มีนายทุนผู้บุญหนัก สลักคำ..ให้นำอ้อน เจ้าเลยลืมคอนเค้า บ่เหลือเงาสาวบ้านป่า ปล่อยหนุ่มนาคนค่าด้อย ให้หงอยซ้ำฮ่ำคนิง แท้น้อ
.............................................................................................................................
ร่องรอยในอดีตดูเปลี่ยนแปลงจนแทบอึ้ง ที่ปลายนาของชายคนรักในอดีตที่เคยร้างถูกสร้างด้วยสีเขียวจนเธอต้องเผลอยิ้ม ต้นไม้ใหญ่ดูมีไม่กี่ต้นแต่ทว่าตอนนี้เขาสร้างป่าฝนให้คงอยู่ อนุรักษ์ สู้ ปลูกฝังให้ผืนดินยังเขียวขจี นี่หน่ะหรือคือคำว่าบ้าที่เขาถูกกล่าวหา การกระทำที่สวนกระแสใครมักถูกมองไปในทางผิด คิดแล้วก็พลันเศร้า
.......สายลมเบาดั่งพัดความเหงาเป็นม่านเงาผ่าน สายตาสาวนางบ้านโคกติ้วมองเห็นวิศรุท หนุ่มบ้านโคกที่กำลังชะโงกหน้ามองมาจากเถียงนาน้อย คล้อยกระนั้นสายตาของชายหนุ่มก็ต้องหลบเมื่อพบว่าเป็นใคร..มันทำให้หัวใจของสาวบ้านนายิ่งว้าวุ่นครุ่นคิดหนักเพราะกระอักในความผิด
“ อ้ายรุท ”
เสียงต่ำ คร่ำครวญเบาๆ เมื่อความเงาเข้าแทนที่ ไม่แปลกใจที่เขาจะเฉยชาสายตาไม่ยินดี เพราะเธอเล่นหนีลาจรไกลคอนสู่กรุง มิหนำซ้ำยังขาดการติดต่อไปหลายปีดีดัก บิม อภิชญาขยับเข้าไปใกล้ด้วยหัวใจสั่นสะท้าน ม่านเงาในอดีตทำให้จิตไหว ชายหนุ่มเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าที่เคยสดใสตอนนี้ดูไร้สิ้นเงา เสื้อผ้าหน้าผมดั่งคนเถื่อนช่างเหมือนคำคนกล่าว
“ มันกะอยู่ของมันซาดนั่นหล่ะอินาง ตั้งแต่อิหล่าหนีมันไปมันกะบ่เคยหัวซาไผเลย เฮ็ดหยังกะบ่คือบ้านคือเมืองเขา ผมเผ้ากะบ่ตัด จนขะเจ้าว่ามันเป็นบ้าไปแล้ว ”
คำของแม่ดังก้องเข้ามาเสมือนว่าจริง หญิงสาวละอายใจยิ่งในสิ่งที่เขาเห็น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นตัวตนให้คนที่เคยสัมผัสได้รู้ชัดแน่ก็คือแววตา สายตาที่ดูอบอุ่นเป็นทุนเดิมยังคงที่ หญิงสาวขยับตัวนั่งบนแผ่นไม้เถียงนามองหน้าชายหนุ่มที่ตอนนี้เขานั่งกุมความคิดด้วยจิตที่หงอย
“ อ้ายรุท อ้ายเป็นจั่งได๋แน ...บิมขอโทษที่เฮ็ดให้อ้ายเป็นแบบนี่ ”
เสียงหญิงสาวสั่นคลอ ความรู้สึกจากการบีบคั้นภายในทำให้น้ำใสๆเริ่มไหลซึมออกจากสายตาคู่คมพลางก้มหน้ามองพื้น
“ บิมมาแต่ดนแล้วบ้อ อ้ายคิดว่าบิมสิบ่กลับมาหาอ้ายอีกแล้ว ”
ประโยคนิ่งอิงสายลมดั่งม่านมนต์สะกด มันทำเอาหญิงสาวต้องพรั่งพรู ความรู้สึกกระอึกกระอักหนักอึ้งอยู่ภายในจนหัวใจแทบขาด เธอปล่อยโฮ มือสั่นเทาพลางน้าวชายหนุ่มเข้ามาสวมกอด การอภัยคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วันนี้เธอรู้แล้วว่าหัวใจของเขาหาใครเท่าเทียมได้ มันเป็นความรู้สึกที่ยากอธิบายยิ่ง นี่คือสิ่งที่เธอต้องตระหนักพร้อมสลักคำมั่นว่า ไม่ว่าวันไหนๆสัญญาใจจะไม่ร้างลาหนีหน้าเขาอีกแล้ว


....แสงสุรีย์ยามบ่ายคล้อย ฉาบแสงสีทองผ่องอำไพเสมือนเป็นหัวใจหลักให้วัฏจักรสิ่งรอบข้างดำเนินย่างตามกลไกแบบเสรีภาพ ท้องทุ่งนาเขียวขจีไปด้วยต้นข้าวที่กำลังยืนต้นงามเปรียบเหมือนดรุณีนางแรกรุ่นที่มุ่งอวดทรวดทรงสาวชวนให้หนุ่มๆต้องชายตามองแบบมิรู้เบื่อ แมลงปอสามสี่ตัวบินล้อลม บ้างก็จับตามใบข้าวเรียวทำตัวเป็นนิติเวชคล้ายกับกำลังพิสูจน์หลักฐานอะไรบางสิ่งบางอย่างอยู่แบบตั้งอกตั้งใจ โดยมีตั๊กแตนลายพรางสองตัวกำลังซุ่มตัวเงียบกัดกินแทะเล็มใบข้าวเขียวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ใกล้ๆ " แอ๊บ... แอ๊บ.. แอ๊บ.. "เสียงเขียดจะนาน้อยลอยคอส่งเสียงร้องอยู่ข้างต้นข้าวเป็นสัญญาณบอกกล่าวให้ศรัตรูในชุดลายพรางเลิกก้าวล้ำรุกรานกับผู้มีพระคุณ เพราะมันใช้กอต้นข้าวแห่งนี้เป็นบ้านที่คอยซ่อนตัวหลบซบกำบังเมื่อยามมีภัย หอยโข่งตัวใหญ่กำลังขยับกายไต่ขึ้นตามลำต้นข้าวอย่างช้าๆเพื่อนำพาตัวเองขึ้นมาพักสายตามองหาวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้น ต้นหญ้าขึ้นแซมเขียวขจีอยู่สองข้างคันนาที่ทอดยาวห่างออกไป ไม่ไกลนักมองเห็นหนองฮังที่ยังเห็นเค้าอดีต ตอนนี้มีต้นหม่อนและแปลงผักกลุ่มหนึ่งที่ชายหนุ่มปลูกไว้คูสระกำลังแตกใบเขียวแข่งกับใบข้าวในท้องทุ่งกว้างแบบที่ไม่มีใครยอมใครซ๊ะอย่างงั้น และคงต้องเฝ้ารอหาคณะกรรมการผู้ตัดสินมาชี้ชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ความงดงามไปครองในที่สุด....
“ บิมเอ๊ย หล่าหย่างมาทางหัวนาพ่อใหญ่สีกะระวังนำแนเด้อ ได้ยินคนเขาว่าเห็นงูทำทานอยู่แถวนั่นเด้ เดี๋ยวมันสิแล่นไล่เอา ”
ชายหนุ่มบอก พลางชำเลืองมองหญิงสาว เธอกำลังน้าวเก็บยอดฟักทองอ่อนที่ชายหนุ่มปลูกไว้ข้างเถียง น้ำเสียงเขาปนเคล้าด้วยความห่วงใย
“ เหว๋ย..เหว๋ย..งูทำทานว่าติ เป็นต๊ะใจดีเนาะอ้ายรุท บิมว่ามันบ่เป็นต๊ะย้านดอก เป็นต๊ะฮักกะด้อ งูใจบุญตั๊วนี่ ”
หญิงสาวบอกหน้าตายคล้ายยั่วจนชายหนุ่มต้องหลุดหัวเราะ พร้อมเดินเลาะเข้ามาเคาะหัวเข้าให้ไปสองปึ๊ก
“ โอเนาะ หล่ะส่างบ่มีงูสิงแล่นผ่านมาทางนี่แนเนาะ สิบอกมันเข้าสิงคน ”
เสียงชายหนุ่มพึมพำย้ำถึงความสนิทเฉกเช่นก่อน ความสดใสรอยยิ้มเริ่มดูอิ่มเอมทั้งสองฝ่าย แม้วิศรุทจะรู้ดีว่าเขาต้องผ่านความรู้สึกที่ยากอธิบายยิ่ง แต่ด้วยสายใยที่เคยผูกพันธ์เขายังมั่นนับวันรอ วันนี้ดอกติ้วบ้านป่า สาวนาที่เคยรักหวนกลับคืนคอนพร้อมกับคำสัญญาที่มั่น เขาก็ยินดีพร้อมให้อภัยในเมื่อหัวใจก็ยังรักเธออยู่เต็มเปี่ยม ความรักหากเข้าใจแล้วไซร้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน หากเปิดไพ่คำตอบที่กรอกมั่นก็คือคำสัญญานั่นเอง
ด้วยจิตคารวะ
บทเนื้อเรื่อง อีเกียแดง แห่งรัตติกาล
ขอบคุณภาพประกอบจากพี่ปิ่นลม พรหมจรรย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น